วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

ฤดูต่างๆ ภายใต้ดวงอาทิตย์

...ชีวิตคือการเดินทางตลอดเวลา...วงล้อของกาลเวลา ในแต่ละขณะที่ชีวิตเรากำลังดำเนินไป มันอาจจะไม่สวยงามและราบเรียบให้เราเดินได้อย่างสบายไปตลอดทั้งเส้นทาง อาจมีบางครั้งบางช่วงเวลาที่เราจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาทดสอบพลังใจ จนทำให้รู้สึกอ่อนล้า หมดแรงหมดไฟ

แต่ถ้าเรามีสติคิดได้ขอจงอย่าท้อ ช่วงไหนที่เราต้องเจอกับเส้นทางที่มันขรุขระยากต่อการก้าวไป ก็ขอให้ค่อยๆย่างไปอย่างช้าๆและใช้ความระมัดระวังให้มากเข้าไว้ เอาสติกับพลังใจมาเป็นเพื่อนร่วมทาง ใช้เวลาและความพยามค่อยๆปรับสภาพของตัวเองให้เรียนรู้กับประสบการณ์ใหม่ๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา

เพียงเท่านี้เส้นทางที่มันอาจจะดูไม่สู้ดีนัก ก็อาจจะกลายเป็นเส้นทางที่เมื่อเราได้เดินผ่านมันไปแล้ว ทำให้เราได้มีคำพูดมาบอกกับตัวเองว่า
นี่คือเส้นทางแห่งบทเรียนที่สั่งสอนเราให้ได้เรียนรู้คุณค่าและความหมายของคำว่าความอดทน คือเส้นทางที่ทำให้เราได้รู้ว่าหนทางข้างหน้ามันจะไม่มีเส้นทางไหนทำให้เราลำบากได้อีกต่อไป
ปลอบใจตัวเองไว้เสมอว่าทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามามันคือ วัฏจักรของความสัมพันธ์ ระหว่างความสมหวังกับความเจ็บปวด ที่ต่างต้องหมุนเวียนเปลี่ยนกันทำหน้าที่ของกันไป ส่วนตัวเราก็แค่มีหน้าที่พบปะกันมันทำความสัมพันธ์กับช่วงเวลาใหม่ๆที่กำลังจะผ่านเข้ามา เรามีหน้าที่ปรับให้หัวใจได้เคยชิน เหมือนกับทุกวันนี้ที่หัวใจเราได้เคยชินกับทุกฤดูที่ต่างหมุนเวียนกันอยู่

คิดเสียว่ามันเป็นกฎของหมูดาวเคราะห์ทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของดวงอาทิตย์แห่งนี้ก็แล้วกัน
และเมื่อวงล้อของการเดินทาง...ในฤดูการต่างๆผ่านพ้นไป
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุขสดใส...ก็จะหมุนกลับคืนมาหาเราอีกครั้ง

(นี่คือการปลอบใจตัวเองอย่างเป็นระบบงั้นเหรอ เหอ เหอ) เขียนได้ง่ายแต่ทำใจได้ยาก คริ คริ ..เขียนเองขัดเอง..

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

รอยเท้าบนผืนหญ้า

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน.. ต่างร่วมเดินทางไปในทะเลทราย... ระหว่างทาง..เกิดโต้เถียงขัดแย้งไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
ฝ่ายถูกทำร้าย...เจ็บปวด...แต่ไม่เอ่ยวาจา กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า....
"วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
ทั้งสองยังคงเดินทางต่อ...กระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย
พลัน..คนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้าช่วยชีวิต
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา.. กลับสลักลงไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"
เพื่อน...อีกคนไม่เข้าใจ...ถามว่า...
เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอเขียนลงทราย.. แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน
อีกคนยิ้มพราย...กล่าวตอบ
เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย... เราควรเขียนมันไว้บนทราย
ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย... จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย...บังเกิด
เราควรสลักไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ
ซึ่งจะไม่มีสายลมแรงเพียงใด...ลบล้างทำลาย…
มีคนบางคนได้ส่งบทความนี้ให้ฉันอ่าน ซึ่งฉันอ่านแล้วก็รู้สึกซึ้งใจ
และก็ขอขอบคุณไว้ตรงนี้สำหรับบทความดีๆที่ส่งมาให้นะคะ..

ฉันคิดว่า..ถ้าคนเราทุกคนจะมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต
กับใครสักคนหนึ่งที่เรารู้สึกดี
ก็จงถ่ายรูปแห่งความทรงจำดีๆนั้นไว้...และก็ฉายมันไว้ในหัวใจเสมอ
จำสิ่งดีๆไว้บนที่ๆเรามีความสุขด้วยกัน
รอยสักแห่งความทรงจำ...หากเราเลือกที่จะบันทึกมันไว้ในหัวใจ
ก็ขอให้มันเป็นร่องรอยแห่งความสุข...และความประทับใจ
และถ้าหากมีอะไรที่เค้าจะเผลอทำให้เราต้องขุ่นเคืองใจ
...ก็อย่าไปให้คุณค่ากับมัน...
จงบอกกับหัวใจตัวเองไว้เสมอว่า...สิ่งที่ไม่มีค่าควรจะจดจำ
"ค่าของมันมีแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนกับรอยเท้าบนผืนหญ้า"

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552

โลกที่ฉันไม่อยากให้ใครเข้าไป

ทุกวันถึงฉันจะพยายามทำตัวให้ดูปกติ พูดคุยหัวเราะร่าเริงทำให้เหมือนว่าตัวเองมีความสุขมากมาย แต่ในความเป็นจริงข้างในใจ ฉันเป็นห่วงความรู้สึกข้างในลึกๆของเธอที่มีต่อฉันกลัวในความคิดของเธอและฉันที่มันเป็นของตัวเองมากเกินไปจะทำลายมิตรภาพของเราให้มันพังลงไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้รูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันอาจจะเป็นเพียงมิตรภาพที่ความรู้สึกดีๆ ถูกส่งผ่านถึงกันแค่ทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ระยะเวลาที่เราได้รู้จักกันมันอาจจะไม่ได้ยาวนานเท่ากับเพื่อนคนอื่นๆแต่ฉันก็ไม่อยากให้มันเป็นอยู่อย่างนี้มิตรภาพถึงมันจะจบไปแต่ก็ขอให้มันอย่าเลวร้ายลงไปมากกว่านี้

หลายวันมานี้ที่เราต่างคนต่างไม่เข้าใจกันและหลายๆครั้งที่ฉันเห็นเธอใช้คำพูดเปลี่ยนไปจากเดิมไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็น ความรู้สึกของฉันมันเจ็บปวดทุกครั้ง ฉันรู้สึกว่าเรากำลังห่างกันออกไปทุกที ฉันไม่อาจรับรู้ได้ว่าความรู้สึกนึกคิดของเธอข้างในที่มีต่อฉันมันเป็นรูปแบบไหนและก็คงไม่ไปบังคับความรู้สึกของเธอให้ช่วยมองความคิดของฉันให้เห็นอย่างที่ฉันเป็น เพราะฉันรู้ว่าตัวตนของแต่ละคนย่อมมีบางอย่างที่แตกต่างกันไป และแต่ละคนต่างก็ต้องมีโลกส่วนตัวของตนที่ต่างเก็บเอาไว้ และในโลกส่วนตัวของฉันใบนั้นมันก็มีเรื่องราวมากมาย ความทรงจำ ความเศร้า ความผิดพลาด ความเจ็บปวดและแผลเป็นบางแผลที่มันยังฝังแน่นอยู่ในหัวใจ ความทรงจำในโลกใบนั้นฉันพยายามแกล้งทำเป็นลืมมันสักเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยที่จะจางหายไป ทุกความคิดที่ทำให้เจ็บปวดฉันพยายามสะกดมันเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นเหมือนว่าฉันเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดใจ

แต่เธอจะรู้ไหมว่าในวันนี้ฉันมีความตั้งใจที่จะสร้างมิตรภาพกับคนทุกคนที่เขาผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันด้วยโลกใบใหม่ โลกที่มันจะไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันในความคิด และฉันก็คิดว่าฉันต้องทำมันให้ได้ฉันจึงต้องเก็บกดอารมณ์บางมุมเอาไว้และไม่ต้องการให้ใครเข้าไปพบเห็นความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนั้น ฉันเชื่อมั่นว่าหากเราต้องการสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับชีวิตก็จงลืมความคิดที่ทำให้เจ็บปวด เพราะความคิดที่มีพิษมันทำให้ชีวิตเราเดินไปไม่ถึงไหน

..... ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเลือกที่จะปิดตายประตูของโลกใบนั้นเอาไว้ และที่สำคัญฉันก็ไม่อยากให้เธอไปยืนรอฉัน อยู่ตรงหน้าประตูบานนั้นที่ฉันปิดตายเอาไว้......

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

รัก ลวง หลอก

รัก.......... แท้..เป็น..................ตำนาน
รัก.......... สิ้นลมปราณ..เป็น.......บทประพันธ์
รัก.......... ไม่แปรผัน..เป็น.........นิยาย
รัก.......... จนวันตาย..เป็น.........นิทาน
รัก.......... ตลอดกาล..เป็น.........ละคร
รัก.......... อยู่ทุกตอน..เป็น.........ละครน้ำเน่า
รัก.......... ไม่เคยเก่า..เป็น.........จริงช่วงแรก
รัก.......... ในความแปลก..เป็น....คำฮิต
รัก.......... ด้วยชีวิต..เป็น...........ลิเก
รัก.......... ไม่โลเล..เป็น.............ความฝัน
รัก.......... เธอนิรันดร..เป็น..........ชื่อเพลง
รัก.......... นะตัวเอง..เป็น...........เด็กอมมือ
รัก.......... ซื่อสัตย์..เป็น.............คำลวง
รัก.......... หมดทรวง..เป็น..........คำติดปาก
รัก.......... เธอมาก..เป็น.............คำฮอด
รัก.......... เดียวตลอด..เป็น........ไปไม่ได้!!!
รักที่เป็นไปได้เกิดจากการวางใจในรักให้อยู่บนเส้นทางสายกลาง
ไม่ต้องรักให้มากมาย แต่ต้องไม่น้อยไปกว่าเดิมทุกๆวัน
รักที่เขาเป็นของเขาอย่างนั้น ไม่ต้องให้เป็นอย่างที่ใจฉันต้องการ
เพราะตัวตนของแต่ละคนคือหนึ่งไม่มีครึ่งหรือแบ่งเป็นสอง
รักที่เขาเป็นในวันนี้ เมื่อวานนี้หรือพรุ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องถามหรือคาดหวังใดๆ

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปัญหาสอนว่าต่อไปอย่าถือถือดี

มีใครบางคนเคยสอนเอาไว้ว่าภาระหน้าที่คือสิ่งที่ต้องทำ ความหวัง ความฝัน และอุดมการณ์คือศักยภาพที่ใช้ชี้วัดความเป็นมนุษย์ เคล็ดลับการทำชีวิตให้เรียบง่ายคือการมีสติรู้จักคิดที่สุดของชีวิตคือการรู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

สาเหตุของความยุ่งยากคือการทำเรื่องยากก่อนเรื่องง่าย ถ้าอยากให้ชีวิตไม่วุ่นวายต้องเรียงลำดับความสำคัญของชีวิตใหม่ทำจากง่ายไปหายาก และอย่าทำงานมากๆในเวลาเดียวกันเพราะมันจะทำให้สับสนเพราะสมองคนมีแค่หนึ่ง มันเป็นความคิดที่ฝังหัวฉันจนขึ้นใจแต่ฉันกลับไม่นำไปใช้ สิ่งดีๆที่เขาสอนไว้ใจฉันมันไม่รู้จักฟังคำว่าดื้อคำเดียวเท่านั้นที่ทำร้ายชีวิตฉันมาตลอดและทำให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้

อึดอัดกับภาระหน้าที่ อึดอัดกับอนาคต อึดอัดกับสิ่งที่มันควบคุมไม่ได้... สับสนกับจิตใจของตัวเองตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าจะเอายังไง ทำไมนะจิตใจคนยามที่ตกต่ำขัดขัดสนถึงหาหนทางออกให้ตัวเองได้ยากเย็น ภาพที่มองเห็นเป็นแต่อุปสรรคมากมาย

ใจนะใจทำไมมันถึงวุ่นวายกันจริงข้างในเป้าหมายยิ่งไขว่คว้ามากเท่าไร แต่มันเหมือนยิ่งแสนไกล หมดแรงหมดไฟเหมือนจะหมดกำลังใจสิ้นสลายใจกับความฝันของเรา อยากดื้อถือดี เป็นอย่างนี้ก็สะใจดี ขำๆแต่ขำไม่ค่อยออกคำโบราณที่เขาสอนไว้ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัดยังใช้ได้ตลอด ขอจงใช้กันเถอะชีวิตจะได้ไม่วุ่นวายเหมือนอย่างกับฉันตอนนี้ คนเก่งคนเจ๋งไม่เป็นก็ไม่ตายและไม่เหนื่อย . เฮ้อเหนื่อย

แท้จริงแล้วต้นเหตุของปัญหา ความยุ่งยากเริ่มต้นมาจากวิธีคิด เราเองที่ไม่ได้เรียงลำดับความคิดให้มันเป็นขั้นเป็นตอนและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังให้เป็นระบบ ภาระและงานมันก็เป็นอยู่ของมันอย่างนั้นเมื่อเราเข้าไปยุ่งกับมันมันก็ต้องตอบสนองความยุ่งยากให้กับเรา

เพราะฉะนั้น"ความคิดของเรา"ต่างหากที่ทำให้มันยุ่งยาก


วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

วันพิเศษบอกว่าเราคือคนพิเศษ

หากเรามีใครสักคนทีรักหรือรู้สึกดี คงอยากให้เค้ามีความสุขใจในวันพิเศษ หากวันนี้เป็นวันพิเศษของใครๆก็ขอให้มีความสุขใจกว่าทุกๆวัน วันพิเศษในโลกนี้ที่น่าอัศจรรย์คงเป็นวันอะไรไปไม่ได้นอกจากวันเกิด วันเกิดเป็นวันที่มีความทุกข์อันแสนสาหัสบนความสุขที่น่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นคนทุกคนที่ได้เกิดขึ้นมา หากผ่านพ้นวันน่าอัศจรรย์มาได้ก็ล้วนเป็นคนพิเศษเหมือนกันทุกคน และทุกคนก็ต้องมีวันพิเศษเหมือนกันทุกๆปี


เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็อยากรวบรวมคำพูดทั้งหลายที่มีความหมายดีๆที่ผู้คนได้บัญญัติไว้ เก็บใส่ตะกร้าแล้วบินเอาไปแปะไว้ที่บนท้องฟ้า อยากให้คนบางคนที่เกิดในวันนี้เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วหันไปพบว่ามีใครบางคน คนหนึ่งได้ฝากความรู้สึกดีๆเอาไว้ อยากให้เค้าได้สุขใจ อยากให้เขามีความสุขในวันพิเศษอยากให้เขารู้ว่าเค้าคือคนสำคัญเพียงแค่นั้น ฉันก็มีความสุขใจ


พรอันใดที่เขาต้องการขอจงบันดาลให้เขามีความสุขสมหวังได้ทุกอย่างดั่งตั้งใจ หากฝันอันใดที่ยังคั่งค้าง ขอให้เขาจงรับรู้ว่าเขาจะต้องมีพลังสู้ต่อไป และขอให้รู้เอาไว้ว่าวันนี้คือวันพิเศษที่โลกได้สร้างคนพิเศษอย่างเขาให้ได้เกิดขึ้นมา ชีวิตคนจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีคนเห็นคุณค่าในตัวคุณ และวันนี้คุณก็ทำสำเร็จแล้ว เมื่อมีใครสักคนอวยพรให้คุณในวันพิเศษ และหากวันนี้เป็นวันพิเศษของใครขอให้มีความสุขใจตลอดไปในการใช้ชีวิต วันพรุ่งนี้และวันนี้ขอสิ่งดีๆจงเกิดขึ้นที่ใจขอให้ได้มีสุขทุกวัน ....สุขสันต์ในวันเกิดค่ะ.....

!! มันก็คงไม่ผิดเกินไปใช่ไหมที่เราจะคิดให้ใครสักคนมีความสุข ความคิดที่อยากให้คนอื่นมีความสุขใจการเชื่อในความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่าผลของมันจะย้อนกลับมายังไง อย่างน้อยฉันก็จะยอมรับมัน เพราะการเชื่อมั่นในรักมันทำให้สุขใจเกินกว่าที่จะไปคาดหวังใดๆที่ไกลกว่านั้น ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ฝันให้มันอยู่ในความรู้สึกข้างใน เพียงได้คิดเพียงได้ฝันแค่นั้นก็มากมาย และทุกๆความรู้สึกที่อยู่ข้างในก็ขอให้เค้ารับเอาไว้อย่างที่ฉันได้ตั้งใจภาวนา!!

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปัญหาไม่หมดไปด้วยการไหว้วอน

มุมพิเศษในจิตใจอยู่ที่มีความจริงใจกับคนใกล้ชิดไม่ใช่อยู่กับการคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในใจ มุมพิเศษในจิตใจ คือมุมที่เก็บไว้ถ่วงดุลความมั่นใจ เอาไว้ทำความดี เอาไว้เป็นที่รองรับความคิดเห็นของคนอื่นๆ เอาไว้แทนที่อารมณ์ที่ไร้ค่า ยกระดับความคิดที่มีค่าให้กับตัวเอง

ศรัทธาพื้นฐานของการใช้ชีวิตร่วมกันคือความไว้ใจ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ขององค์กรไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว การดำรงด์อยู่ของคนในองค์กรเดียวกันสำคัญอยู่ที่ความให้ความไว้วางใจกัน หากยังไม่เข้าใจในเหตุผลของความไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ก็อย่าไปคิดถึงผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่จะได้รับซึ่งกันและกัน เพราะมิตรภาพที่มั่นคงไม่เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่ไม่จริงใจ มิตรภาพที่ยั่งยืนเกิดจากความไว้ใจ การไว้วางใจอันยิ่งใหญ่เป็นรากฐานของความสำเร็จไม่ได้มาจากการหวังพึ่งหมอดู ให้ดูช่วงชีวิตดีๆเพื่อเริ่มทำสิ่งดีๆให้กับชีวิตแต่ไม่เคยคิดและเห็นใจกับคนที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน

หมอดูเปลี่ยนคำพูดของตัวเองได้หลายครั้ง จากการทำนายต่างกันในหลายเวลาและวาระ แต่หมอดูไม่เคยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้าของชะตาได้สักครั้ง และทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จกก็ไม่ได้เกิดจากฝีมือการทำงานของหมอดู คนที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จคือคนที่เขาช่วยเราทำงาน คือคนที่เขาอยู่ที่เดียวกันกับคุณ คนที่คุณควรจะดูแลใส่ใจคือคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่ไม่มีตัวตนที่อยู่บนฟ้า คนที่คุณคิดว่าเขาศักดิ์สิทธ์มีอิทธิฤทธิ์ช่วยคุณได้ แต่เป็นคนที่คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เห็นและสัมผัสได้ในชีวิตของความเป็นจริง การก่อตัวของปัญหาเกิดจากการสับสนในขัอเท็จจริง ความจริงไม่ได้ถูกตีแผ่ในที่ที่ควรรู้ และไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนในกลุ่มในองค์กรเดียวกัน เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแต่ไม่ได้ค้นหาแนวทางในการแก้ไข มันก็กลายเป็นความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงปัญหาก็จะลูกลามใหญ่โตและก็จะนำไปสู่ความล่มสลายในที่สุด

ปัญหาอยู่ตรงไหน??คำเรียบง่ายที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในชีวิตการทำงาน หลายคนพูดได้ใช้บ่อยแต่ไม่เข้าใจ
"ปัญหาต้องออกค้นหาถึงจะเจอ ความหมายเรียบง่ายตรงตัว แต่หาตัวไม่ค่อยเจอ"เพราะอะไรหาคำตอบให้กับตัวเองได้ไหม??
คำตอบคือ สะกดคำว่าจริงใจเป็นเมื่อไหร่คุณจะเข้าใจ และเมื่อนั้นคุณจะเริ่มต้นเดินออกค้นหามัน
อัจฉริยะบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ 90% เคยล้มเหลวในชีวิตมาแล้วทั้งนั้นและผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้คว้าเป้าหมายมาได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

ทำชีวิตให้เรียบง่าย เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วก้าวเดินต่อไป สักวันคงได้ดี(บอกกับตัวเอง)

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

จุดเปลี่ยนที่ต้องทำใจ

ชีวิตคนเรานั้นบางครั้งมันก็เลือกไม่ได้สักทาง
สิ่งที่เราคิดว่ามันคือความฝันและสิ่งที่เราคิดว่านี่คือสิ่งที่เราคาดหวังไว้ให้กับชีวิต
เราตั้งเป้าหมายว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เราตั้งใจฝันไว้สักอย่างก็จำต้องปล่อยให้มันเป็นไป
ชีวิตแม้มันจะต้องหยุดอย่างกะทันก็ควรต้องทำใจ
หรือหากเราจะไม่เหลืออะไร ก็จำต้องยอม ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป
ความรู้สึกหากมันจะเจ็บก็ต้องยอมเจ็บ วันสองวันสามวันจะเป็นไร
ยังเจ็บได้ก็ยังมีสิทธิลุกขึ้นสู้ใหม่ได้
ยังไงเสียในความเจ็บมันก็ยังเป็นการเตือนเราว่าเรายังมีชีวิตอยู่
มีชีวิตสู้กับปัญหาดีกว่าไม่มีชีวิตให้เจ็บกับปัญหาอีกต่อไป
ถึงมันจะเศร้าแต่ก็มันก็คือความจริง
ชีวิตจริง จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย
ชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง เรามีสิทธิเจอกับทางแยกได้หลายครั้ง
และทุกๆครั้งมันก็สั่งเราให้ต้องตัดสินใจ
หลายๆครั้งมันทำให้เราค่อนข้างสับสน
จนบางครั้งก็ไม่อาจจะตัดสินใจได้ว่าจะเอายังไง
จะไปตามทางแยกไหนดี....นี่แหละคือชีวิต
นี่แหละคือโชคชะตาที่ๆฟ้ากำหนดให้เราเกิดขึ้นมาเพื่อเรียนรู้
และเลือกว่าจะสู้หรือจะหนี
ส่วนตัวฉันตอนนี้ก็คงจะอยู่ตรงทางแยกพอดี
และก็เป็นอีกครั้งแล้วซินะที่จะต้องตัดสินใจ
ว่าจะเดินไปบนทางแยกไหน
โดยที่ไม่มีสิทธิที่จะคิดหนีอีกทั้งยังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะต่อสู้
เพื่อไขว่คว้าความฝันที่เคยตั้งไว้อีกต่อไป
เศร้านะแต่ก็จะพยายามเข้าใจ
หากว่าทุกอย่างมันเป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดมาให้ฉันต้องเป็นอย่างนี้

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

แม่มด (อ่านจบคุณจะรักเธอ)

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว... อาเธอร์ถูกจับและจะประหารชีวิต แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบ ปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร 'คำถามนั้นคือ .... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?'
ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและ เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น แม่มดตกลงจะให้คำตอบแต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นังแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของ เหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกงเหม็นก็เหม็น มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนถังส้วม ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น เขายอมแต่งงาน เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์ 'สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง'

ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งตด ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด และ แล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยองเขาก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์ ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!! หญิงสาวแสนสวยที่สุดที่ เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า กาเวนงุนงง ? สาวแสนสวยเฉลยว่า เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน (เมื่อยามเป็นแม่มด) ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่า รังเกียจส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้ กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน? เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!! กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด? หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี?? เป็นคุณหล่ะ คุณจะเลือกอย่างไร??

เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่ ข้างล่างนี้ กาเวนตอบว่า 'เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง' เมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอ จึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...
1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด
2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ ความประพฤติของผู้ชาย

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ขอได้ไหมความจริงใจจากคนใกล้ตัว

เคยตั้งคำถามกับท้องฟ้าหลายครั้งว่า บนพื้นดินแห่งนี้ยังพอจะมีความยุติธรรมอยู่บ้างไหม?
ความจริงใจที่เราสมควรได้ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว ขอได้ไหมสักครั้งที่จะไม่ทำให้เราต้องเสียใจ คนที่เราได้เรียกเขาว่าคนใกล้ชิดจะมีบ้างไหมที่จะทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ ทำให้เราภูมิใจว่าเรายังพอมีคนที่ยังไว้ใจได้อยู่ ขอสักครั้งได้ไหมความจริงใจจากคนใกล้ตัว?

แต่ฟ้าก็ไม่เคยตอบ และฉันก็ยังถูกหลอกจากคนใกล้ตัวอยู่ร่ำไป ฉันพยายามจะเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสั่งได้ดั่งใจเรา และเราก็ไม่ได้ดีไปหมดเสียหมดทุกอย่าง และทุกอย่างบนโลกใบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีที่สุด และความซวยที่น่ากลัวที่สุดมันก็อาจเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเวลา ทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราควรจะเข้าใจ แต่สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจและทำความเข้าใจได้ลำบากที่สุดก็คือ ความซวยที่ไม่ธรรมดาทำไมมันจะต้องมาจากคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา ทำไม?

ในความเป็นจริงคนใกล้ตัวคือคนสุดท้ายที่เราควรจะหวาดระแวง และในความเป็นจริงที่สุดคนใกล้ตัวไม่ควรเป็นศัตรูกับคนใกล้ชิด หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดตัวคุณคนที่เขาไว้ใจคุณหรือคนที่คุณให้ความไว้วางใจไม่ใช่คนที่คุณคิดจะเอาเขามาเป็นเหยื่อ
แต่ทำไมในความเป็นจริงของฉัน คนใกล้ตัวไม่เคยมีใครไว้ใจได้สักที ฟ้าบอกได้ไหมทำไมถึงเป็นอย่างนี้ คนอย่างฉันคนนี้ยังพอจะมีสิทธิเรียกร้องความยุติธรรมได้อีกไหมจากคนใกล้ตัว?