วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

โลกของฉัน(คือความจริงใจไม่ใช่เกม)


ทางเดียวที่เราจะมองเห็นความจริงของตัวเอง ก็คือการมองย้อนเวลา

เราไม่มีทางรู้ว่าอนาคตข้างหน้าณ.ขณะนี้จะเป็นอย่างไร..เมื่อวันนั้น

เรารู้แต่เพียงว่ามันเคยเป็นยังไง

และมันจะเป็นยังไงอีกต่อไปแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ

….

สิ่งที่เห็นได้ชัดในชีวิตฉันคือ “ไม่มีอะไรที่อยู่กับที่”

เวลาได้พาอดีตทั้งหมดของฉันเคลื่อนที่ออกจากกันด้วยความเร็วมหาศาล

และในขณะที่เวลายิ่งเคลื่อนออกไปเร็วมากเท่าไหร่

ชีวิตฉันยิ่งห่างความจริงออกไปมากเท่านั้น

....

ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่ไม่มีความจริงยืนยาว

ฉันรู้สึกว่าเวลาหลอกล่อให้ฉันวิ่งตามหาตัวฉันเอง

แล้วฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันเองก็ไม่ใช่ตัวเองในวันนี้

หากวัดจากความเป็นจริงของตัวฉันในวันที่ผ่านมา

....

... เวลาได้เปลี่ยนโลกของฉันราวหลังมือไปได้อย่างไร ???

....

ราวว่าฉันได้สัมผัสโลกใหม่อีกครั้ง

 ฉันคือคนใหม่ทุกๆครั้งที่ฉันตั้งใจมองดูตัวเอง

และฉันก็งงงันในการเปลี่ยนแปลงหลายๆครั้งที่ฉันกำลังมองเห็นตัวเอง..

….

...มันมีอะไรเกิดขึ้นในตัวฉัน...

ฉันสงสัยในตัวเองทุกครั้ง ว่ามันมีอะไรอยู่ในตัวฉัน

ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลง

ฉันสงสัยในตัวเองทุกครั้งว่าฉันมายืนอยู่จุดตรงนี้ ตรงนั้นได้อย่างไรกัน?

...ใครนำพาฉันไป?...

เวลาหรือ พระเจ้าหรือ หรือตัวฉัน หรือ..หรืออะไร????

...

ฉันไม่รู้...ทว่า...ฉันก็คิดว่ามิมีผู้ใดรู้เช่นกัน

ความลับนี้ยังคงเก็บลึกแน่นอยู่ในหัวใจของฉัน

หรือ...มีที่อื่นใดอีกไหมในโลกนี้ที่เก็บความลับของฉันไว้

หรือ...มีที่ใดอีกไหมที่จะสามารถเปิดเผยปริศนาคาใจของฉันได้

….

...ฉันเหมือนถูกโดดเดี่ยวให้เดียวดายเพียงลำพัง...

ไม่มีใครรู้จักฉัน

ไม่มีใครรู้ท่วงทำนองของหัวใจฉัน

ไม่มีใครเห็นตุ๊กตาตัวนั้นทำอะไรอยู่ในนิทานเรื่องนั้น

ในวันเหงาๆท่ามกลางราตรีเศร้าๆในโลกสีเทาๆของฉัน

....

...ในนิทานเรื่องนั้น...

ฉันรอคอยแค่ใครสักคนหนึ่งที่มีหัวใจผูกพันกันด้วยความฝันอันเป็นหนึ่งเดียว

ในนิทานเรื่องนั้น

สอนให้ฉันรู้จักการรอคอยใครสักคนด้วยความอดทน

ในนิทานเรื่องนั้น

สอนให้ฉันรู้จักเสียสละทำในเรื่องที่มหัสจรรย์เพื่อให้ใครสักคนรู้สึกว่าเค้าคือคนสำคัญ

.....

...แต่สุดท้าย...

....

ฉันก็รู้ว่าใครคนนั้นที่ฉันรอเค้าอยู่ในนิทานเรื่องนั้น

....

...มันไม่มีอยู่จริง..

....

...และท้ายที่สุด..

....

ฉันก็รู้ว่าชีวิตจริงในโลกของความเป็นจริง

ฉันก็ถูกใครๆดึงให้เข้าไปอยู่ในเกม เกมหนึ่งเท่านั้น

….

เกมนี้ใครจะชนะหรือแพ้ มิได้อยู่ที่คุณเล่นเกมนั้นอย่างไร

และเส้นทางนั้นก็ไม่ใช่วิธีการที่จะรู้ชื่อฉันเสมอไป

เมื่อเกมนี้จบลงไปเพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นอีกครั้ง

....

จุดที่คุณจะพบว่า

....

ถ้อยคำมุสานั้นเปล่าประโยชน์ไร้ค่าปราศจากน้ำหนัก

..และ...

เลื่อนลอยตลอดระยะเวลาที่คุณเฝ้าทำมาด้วยความผยองใจ

....

เพียงคำขอโทษสั้นๆมันก็ไม่มีความหมายที่คุณจะเอื้อนเอ่ยมันออกไป

เพราะต่อจากตรงนี้และตลอดไป...คุณค่าระหว่างเรามันจบลงแล้ว

...วัคซีน...

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

หนักแผ่นดิน

เกลียดไอ้พวก...... กากเดน...... ของแผ่นดิน

เกลียดไอ้พวก...... ดูหมิ่น........ พระราชา

เกลียดไอ้พวก...... รับใช้......... หมาไนล์บ้า

เกลียดไอ้พวก...... ชอบด่า........ ประเทศไทย


เกลียดไอ้คน....... ที่ชอบคิด........ ด้วยต้นคอ

เกลียดไอ้คน....... ที่รักพ่อ.......... แต่ขออยู่เฉยๆ

เกลียดไอ้คน....... ที่พูด พูด......... แต่ไม่ได้อะไรเลย

เกลียดไอ้คน .......ที่เฉย เฉย........ แต่รับตังค์


บัดนี้............ ขอสาปแช่ง.......... กับพื้นพสุธา

ใครที่มัน ........คิดโค่นล้ม........... องค์ราชา

ตลอดชีวิต....... ทั้งนั่งยืน............. ตื่นและหลับตา

ขอให้มัน........ จงร้อนรุ่ม............. อุราไปจนตาย

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมคำคมของกฤษณะ มูรติ

การปฏิวัติ

เพื่อเข้าใจปัญหาการเปลี่ยนแปลง ประการแรกนั้นจำต้องเข้าใจกระบวนการนึกคิดและํธรรมชาติของความรู้ นอกจากว่าเราพิจารณาประเด็นนี้อย่างลุ่มลึก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็แทบไม่มีความหมายเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงซึ่งอุบัติขึ้นที่ผิวนอก คือการสืบต่อสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงให้คงอยู่สืบต่อไป การปฏิวัติที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่าหรือชีวิตที่แตกต่างออกไป โดยผ่านลำดับขั้นตอนของกาลเวลา พฤติกรรมผิดๆ ที่การปฏิวัติหวังจะกำจัดยังคงหวนกลับมาในรูปโฉมใหม่พร้อมกับกลุ่มคนที่ต่างไป กระบวนการเดิมยังคงดำเนินสืบไป เราเริ่มต้นเพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อก่อให้เกิดสังคมที่ไร้ชนชั้น แต่เมื่อผ่านกาลเวลาและแรงกดดันจากเหตุแวดล้อมต่างๆ การณ์ก็กลับเป็นว่าบุคคลกลุ่มอื่นตั้งตัวขึ้นเป็นชนชั้นสูงใหม่ การปฏิวัติที่มีมาไม่เคยเกิดขึ้นจากรากเหง้าเบื้องลึกโดยแท้จริง

บุคคลที่รู้สึกกับโลกอย่างแรงกล้าและเห็น ความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลง เขาต้องเป็นอิสระจากงานทางการเมือง อีกทั้งเป็นอิสระจากบทบัญญัติทางศาสนา และศาสนประเพณี นั่นหมายความว่าเป็นอิสระจากแอกของกาลเวลาและภาระหนักของอดีต เป็นอิสระจากการกระทำทั้งมวลที่เกิดจากแรงปรารถนา นี่คือการเป็นมนุษย์คนใหม่ มีเพียงสิ่งเหล่านี้เ่ท่านั้นที่เป็นการปฏิวัติทางสังคม จิตใจ และแม้แต่การปฏิวัติทางการเมือง

มนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง

จงสนใจกับการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน อันเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าจะเรียกว่าการปฏิวัติ คือการปฏิวัติในหมู่มนุษย์้เรา และในความเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราให้ความสำคัญ การปฏิวัติเยี่ยงนี้ ไม่มีแผนงาน ไม่มีอุดมการณ์ หรือแนวคิดแบบสังคมยูโทเปีย เราต้องมองดูสภาพความสัมพันธ์จริงๆ ของมนุษย์ แล้วเปลี่ยนแปลงมันอย่างถอนรากถอนโคน เช่นนี้จึงจะเป็นของจริง

ความคิด

ความคิดมิใช่วิถีทางที่จะแก้ไขปัญหาใดๆ ของเ้รา เพราะความคิดคือการตอบสนองของความจำ และความจำคือผลพวงของความรู้ที่พอกพูนขึ้น ซึ่งก็คือประสบการณ์

ความอยาก

เป็นไปได้ไหมที่จะมองเห็น เฝ้าสังเกต และรู้สึกตัวถึงสิ่งที่งดงามและน่าเกลียดทั้งหลายในชีวิต โดยไม่พูดว่า "ฉันต้องมี" หรือ "ฉันต้องไม่มี" คุณเคยเพียงสังเกตดูสิ่งใดบ้างไหม พอจะเข้าใจไหมครับ คุณเคยสังเกตภรรยา ลูกๆ หรือเพื่อนๆ ของคุณบ้างไหม เพียงแต่มองดูเขา คุณเคยไหมที่จะมองดอกไม้สักดอกโดยไม่เรียกมันว่าดอกกุหลาบ โดยไม่คิดจะเด็ดมาประดับรางกระดุมหรือนำมันกลับไปให้ใครที่บ้าน หากคุณมีศักยภาพที่จะสังเกตเยี่ยงนั้น โดยปราศจากการให้ค่าที่จิตกำหนดขึ้น คุณจะพบว่าความอยากไม่ใช่สิ่งน่าสะพรึงกลัว คุณสามารถที่จะมองดูรถยนต์ แลเห็นความสวยงามของมัน แต่ไม่ถูกจับไว้ในความโกลาหลหรือความขัดแย้งเพราะความอยาก แต่นั่นต้องการการสังเกตอันเฉียบคม เข้มข้น ไม่เพียงมองผ่านๆ ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่มีความอยาก แต่เป็นเพียงจิตมีศักยภาพในการมองดูโดยไม่มีคำบรรยาย

ความงาม

มีความงามที่ไม่ได้มาจากปฏิกิริยาตอบโต้จากสิ่งเร้า ความงามแห่งนัยนี้ไม่เนื่องอยู่กับสีสัน สัดส่วน รูปลักษณ์หรือคุณลักษณ์ แต่เป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญใหญ่หลวงกว่าและล้ำลึกกว่ายิ่งนัก มันไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์อยู่กับสิ่งเร้าที่ผ่านไปมา มันยากที่จะสื่อถึงความรู้สึกนั้น ความรู้สึกถึงความงามยามเมื่อทั้งจิตใจและระบบประสาท ความรู้สึกทั่วทั้งเรือนร่างประสานกันอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกนั้นมิได้ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้เกิดจากแรงกระตุ้นใดๆ แต่มันปรากฏอยู่ที่นั่นจริง เพราะว่าคุณตื่นตัวรับรู้ว่องไวต่อสรรพสิ่งตลอดทั้งวัน ตื่นรู้ต่อถ้อยคำ ท่วงท่า การย่างก้าว ต่อสิ่งโสโครกตามถนนหนทาง ความรกรุงรังไร้ระเบียบของบ้านช่อง ความน่าเกลียดภายในที่ทำงาน ความทมิฬหินชาติของมนุษย์ คุณรู้สึกตัวอยู่ ตื่นตัวรับรู้ว่องไว ด้วยเพราะความตื่นตัวว่องไวเยี่งนี้ คุณได้พลิกฟื้นทั่วทุกพื้นที่ของชีวิตคุณ กระตุ้นทุกซอกหลืบของจิตสำนึกคุณและสภาวะการดำรงอยู่ของคุณ เมื่อเป็นดังนี้เท่านั้นความรู้สึกแห่งความงามจึงอุบัติขึ้น ไม่ใช่ถูกกระตุ้นขึ้นเมื่อเห็นทะเลสาบ ขุนเขา บทกวี หรือเข้านกที่กำลังบินถลาร่อนลม

สัมพันธภาพ

คำว่าสัมพันธภาพ คุณหมายถึงอะไร เราเคยสัมพันธ์กับใครสักคนไหม หรือว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองมโนภาพ ซึ่งเราต่างก็สร้างมโนภาพของกันและกัน ผมมีมโนภาพเกี่ยวกับคุณและคุณก็มีมโนภาพเกี่ยวกับผม เราแต่ละคนผู้เป็นภรรยาหรือสามีต่างมีภาพลักษณ์ของกันและกัน หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ นั่นเป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างสองภาพลักษณ์ ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น ความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อไม่มีภาพลักษณ์เท่านั้น เมื่อผมและคุณต่างมองกันและกันโดยปราศจากภาพลักษณ์ในความทรงจำ ปราศจากการหยามเหยี่ยดหรือประการอื่นๆ ความสัมพันธ์ก็จะเกิดขึ้น

กระจกเงาแห่งความสัมพันธ์
การสัมพันธ์หมายถึงสัมผัสตรงถึงกัน การเชื่อมสนิทต้องตรงไปตรงมา ไม่ใช่ระหว่างสองภาพลักษณ์ เพื่อที่จะมองผู้อื่นโดยปราศจากภาพลักษณ์ซึ่งผมมีอยู่เกี่ยวกับเขาผู้นั้นต้องมีความใส่ใจและความรู้สึกตัวอย่างมหาศาล ภาพลักษณ์ในความทรงจำเกี่ยวกับผู้นั้นซึ่งเคยเหยียดหยามผม หรือทำให้ผมสบายใจ เพลิดเพลินใจ หรือนั่นนี่ เมื่อไม่มีภาพลักษณ์ระหว่างกันเท่านั้นสัมพันธภาพจึงจะเกิดขึ้น

ภาพลักษณ์

เหตุใดผมผู้ใช้ชีวิตมาเป็นเวลา 40, 50 หรือ 60 หรือกี่ปีก็แล้วแต่ที่เราดำเนินชีวิตมา เหตุใดผมจึงเก็บรวบรวมเอามวลประสบการณ์และความรู้ไว้เต็มคลัง ทั้งสิ่งที่ผมเคยคิด เคยรู้สึก ที่ผมเป็นอยู่ และควรจะเป็น หากผมไม่ทำเช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้น หากว่าผมไม่มีมโนคติเกี่ยวกับตนเอง อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ผมก็จะหลงทางใช่ไหม ผมจะรู้สึักไม่แน่นอนใจ ขยาดหวาดกลัวต่อชีวิต ผมจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ มโนคติ นิยายปรัมปรา และข้อสรุปเกี่ยวกับตนเองขึ้นมา สำหรับผมแล้ว หากไม่มีบรรทัดฐานเหล่านี้ ชีวิตสุดแสนจะไร้ความหมาย ไม่แน่นอน น่าหวั่นกลัวยิ่ง และไร้เสถียรภาพ...

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อผู้รู้สึกตัวถึงข้อเท็จจริงว่า ผมได้สร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับตนเอง และตระหนักรู้มันดุจรู้สึกถึงความหิวของผม

ความรัก

เมื่อคุณสูญเสียคนที่คุณรักไป คุณร้องห่มร้องไห้ น้ำตาของคุณพรั่งพรูออกมาเพื่อตัวคุณเอง หรือเพื่อคนที่ตายไปแล้วกันแน่ คุณร้องไห้ให้แก่ตัวคุณเองหรือคนอื่น คุณเคยร้องไห้เพื่อคนอื่นบ้างไหม คุณเคยร้องไห้ให้กับลูกของคุณทีุ่ถูกฆ่าในสมรภูมิหรือไม่ คุณเคยร้องไห้ แต่น้ำตาเหล่านั้นหลั่งออกมาจากความสงสารตัวเองหรือว่าคุณร้องไห้เพราะว่ามนุษย์ได้ถูกฆ่าลง ถ้าคุณร้องไห้เพราะความสงสารตัวเองแล้ว น้ำตาของคุณไม่มีความหมายใดเลย เพราะว่าคุณหมกมุ่นอย่างมากมาย ถ้าคุณร้องไห้เพราะว่าคุณหมดหวังในคนที่คุณทุ่มเทให้ความรักอย่างมากมาย นั่นไม่ใช่ความรักจริงๆ เลย เมื่อคุณร้องไห้ให้กับน้องชายของคุณที่ตายไป จงร้องไห้เพื่อเขา เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่จะร้องไห้ให้กับตัวคุณเองเพราะเขาจากไปเสียแล้ว แน่ละว่าคุณกำลังร้องไห้เพราะว่าหัวใจของคุณกระทบกระเทือน หาใช่เพื่อเขาไม่ แต่กลับถูกกระทบกระเทือนด้วยความพะนอสงสารตัวเอง และการพะนอตนเองนี้ทำให้คุณแข็งกระด้าง ปิดกั้นตัวเอง ทำให้คุณซึมเซาและโง่เขลา

สิ่งที่เป็นอยู่จริง

เมื่อคุณสังเกตความจริงตามที่คุณเป็นอยู่จริง ไม่มีใครจะทำให้คุณเจ็บปวดได้ ถ้าคุณเป็นคนชอบพูดเท็จ และหากมีใครบอกว่าคุณเป็นคนขี้ปด ไม่ได้หมายความว่าคุณโดนทำร้าย แต่มันเป็นความจริงที่คุณพูดเท็จ แต่หากคุณเสแสร้งว่าคุณไม่ใช่คนช่างเท็จ แต่ถูกกล่าวหา แล้วคุณรู้สึกโกรธและรุนแรง นั่นคือเรามักจะมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งแนวความคิด หรือโลกตามตำนานปรัมปรา ไม่เคยออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพื่อที่จะสังเกตสิ่งที่เป็นจริง มองเห็นมัน คุ้นเคยกับมันจริงๆ จะต้องไม่มีการติดสิน การประเมินค่า ไม่มีความคิดเห็น และ ไม่มีความกลัว

ความทุกข์


ชีวิตพวกเราส่วนมากออกจะน่าเกลียด โสมม ระทมทุกข์มากมาย ชีวิตของเราเป็นห่วงโซ่ของความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย เป็นกระบวนการของการต่อสู้ดิ้นรนและความปวดร้าว เกิดความรู้สึกพึงพอใจที่อิ่มเอิบที่อิ่มเอิบชั่วครู่ชั่วยามแล้วผ่านเลย เราถูกตรึงให้อยู่กับการยอมปรับตาม การสยบยอมตามและแบบแผนทั้งหลาย ไม่มีแม้เพียงขณะเดียวที่อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ ไม่เคยรู้สึกเต็มอิ่มในชีวิต มีความท้อแท้สิ้นหวังอยู่เสมอ เพราะต้องมุ่งแต่ค้นหาความเต็มบริบูรณ์ เราไม่มีความสงบสุขในจิตใจ ทั้งยังถูกกระทำให้ทุกข์ทรมานด้วยความทะยานอยากสารพัด ดังนั้น เพื่อที่จะเข้าใจปัญหาทั้งมวลนี้และล่วงพ้นจากมัน จำเป็นที่ต้องเริ่มต้นเข้าใจในธรรมชาติของความรู้และกระบวนการของจิตใจเสีย ก่อน

การหลบหนี

เมื่อเรารู้สึกไม่พอใจในตนเอง ไม่พอใจในสภาพการณ์ทั้งภายในและภายนอกของเรา เราจึงใช้หนทางหลบหนีมากมาย เราคิดว่าเราจะเข้าใจ จะแก้ปัญหาการดื่มและการหนีได้เมื่อเราค้นพบสาเหตุของมัน เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุของการหลบหนีแล้ว เรายุติการหลบหนีได้หรือ เช่น เมื่อผมรู้ว่าผมดื่มเพราะทะเลาะกับภรรยาของผม หรือเพราะว่าผมได้งานที่แย่มากๆ เมื่อผมรู้สาเหตุผมหยุดดื่มหรือ ไม่หยุดแน่นอน ผมจะหยุดดื่มก็ต่อเมื่อผมมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับภรรยาของผม หรือกับคนอื่นๆอ และขจัดความขัดแย้งซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความปวดร้าวออกไป


          "อิสรภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้ เมื่อคุณใส่ใจคุณจะไร้ซึ่งอิสรภาพ"
                                                                             
                                              
 ....วัคซีน....

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

อย่าหาความต้องการในสิ่งที่ไม่มี

    
     ขอบเขตที่สิ้นสุดของน้ำ ก็คือที่ ที่ไม่มีน้ำ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนเมื่อรู้ตัวว่าไปต่อไม่ไหวทำไมคุณยังฝืน ทำไมยังดันทุรังควาญหาหายนะให้กับตัวเองและบุคคลอื่นอยู่ร่ำไป ธรรมชาติย่อมมีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และมนุษย์ก็สมควรเดินตามนั้นเมื่อแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ก็จงยอมรับในระบบที่เป็นอยู่เสีย จะมีประโยชน์อะไรที่จะดื้อรั้นต่อสู้ไปเพื่อหาสิ่งที่ไม่มี..


      คนเราเมื่อมีแรงปราถนาเกิดขึ้น สติและและความคิดก็จะพลุ่งพล่านสับสน เมื่อมีความคิดสับสน ตัณหาก็จะเพิ่มพูน เมื่อตัณหาเพิ่มพูนขึ้น กิเลสก็จะมีอำนาจเหนือปัญหา เมื่อกิเลสชนปัญหา ก็จะทำให้ไม่รู้จักตริตรอง ไม่สามารถเอาชนะใจตนและภัยพาลได้ ดังนั้นกิเลสจึงเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ

     มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพของพลังสร้างสรรค์และทำลายในระดับที่เท่าเทียมกัน เพราฉะนั้นปัญหาจะเกิดขึ้นหรือจะสิ้นสุดลงได้ก็เพราะอารมณ์ปราถนาของมนุษย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกคนที่มีชีวิตเป็นตัวเป็นตนมีลมหายใจอยู่ในโลกนี้เท่านั้นที่จะเลือกได้ว่าจะใช้ศักยภาพด้านไหนของตนเป็นแรงผลักดันให้โลกและสังคมเดินหน้าต่อไป

    มนุษย์หลายคนเชื่อว่าถ้าหากขาดความฝันก็เท่ากับขาดเสียซึ่งเครื่องมือในการควบคุมจัดการทำสิ่งต่างๆ แต่หากความฝันนั้นไม่เคยมีอยู่จริง หากเป็นเพียงสิ่งที่ลวงจิตเมื่อยามเราหลับฝันเท่านั้น มนุษย์ยังจะต้องทำตามความฝันนั้นอยู่อีกหรือ

    ความฝันเป็นแค่เครื่องมือ เป็นแค่สิ่งลวงตาในบางครั้ง เป็นแค่สิ่งที่มากระตุ้นให้อารมณ์นำพาไปหาสิ่งที่ต้องการ แต่ความฝันไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้เลยเมื่อมีภัย

.......

     ในโลกนี้อาจมีผู้ที่ไร้ซึ่งสติปัญญาอยู่บ้าง แต่จะไม่มีที่ใดเลยที่จะไม่มีมนุษย์ที่ไร้ซึ่งแรงปราถนา และโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นโดยแท้จริงแล้วก็ยังไม่สามารถปฏิเสธความปราถนาของตนเองได้ ปัญหาจึงมักเกิดจากการที่มนุษย์ไม่มีสติ ไม่อาจบังคับควบคุมอำนาจฝ่ายต่ำของตนเองไว้ได้

    ความปราถนาใฝ่ฝันถึงมันจะเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไป แต่มันก็ควรอยู่ในกรอบของความพอดี ความปราถนาไฝ่ฝันไม่ควรมีเยอะเกินไปจนไปกระทบกระเทือนบุคคลอื่น เมื่อถึงจุดที่น่าพอใจเราก็ควรรู้จักพอ

     เมื่อไม่รู้จักข่มกลั้นอดออมความปราถนาของตน ผลบั้นปลายของผู้ที่กำเริบในอารมณ์ปราถนาจึงไม่น่าอภิรมย์นัก ดังแบบที่เราแลเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมในเมืองไทย ณ.ขณะนี้ ผู้คนมากมายถูกความปรารถนาใฝ่ฝันลวงล่อ แสดงออกซ้ำๆซากโดยมีอุดมการณ์ลวงตาเสียหายซ้ำๆซากโดยเสนอตัวเองให้เป็นฝ่ายสนับสนุนการแสดงออกซึ่งอารมณ์ปราถนา

      มนุษย์ในเมืองไทยไม่กล้ายอมรับความจริงของตน   ไม่เปิดเผยอารมณ์ปราถนาของตนอย่างตรงไปตรงมา ชอบสร้างภาพข่มเสือหลอกแมวเมื่อต้องการ แสดงอำนาจเมื่อไม่ได้ดั่งใจ เรียกร้องเมื่อเสียเปรียบ โวยวายข่มขวัญเมื่อถูกกดดัน ทำทุกอย่างได้เท่าที่ตนเองต้องการแต่ไม่เคยทำตามความเหมาะสมไม่เคยทำให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น และก็ไม่เคยฝึกฝนให้ธรรมชาติของตนมีใจรักธรรมชาติรักสังคมคิดเผื่อสังคมคิดเผื่ออนาคต



………………………………



..."น้ำและไฟมีพลังแต่ปราศจากชีวิต เหล่าพืชพรรณตินมีชีวิตแต่ปราศจากสติปัญญา นกกาสาราสัตว์แม้จะมีปัญญาความคิดอยู่บ้างแต่ปราศจากเหตุผลและการจัดลำดับ จึงมีแต่มนุษยชาติเท่านั้นที่สมบูรณ์พร้อมและมีศักดิ์ฐานะเหนือสรรพสิ่ง หากมิใช่เหนือกว่ามนุษย์ด้วยกัน...โลกเราไม่ได้ต้องการมนุษย์ที่วิเศษบริสุทธิ์ สังคมของเราต้องการเพียงมนุษย์ที่มีอารมณ์และแสดงออกตามสภาพความเป็นจริงของธรรมชาติทางสังคมได้เหมาะสมเท่านั้น ...สังคมมนุษย์ก็จะมีธรรมชาติความเป็นอยู่ที่ประสานสอดคล้องกันอย่างสมดุลย์"...



...วัคซีน...

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

วาทะกฤษณะ มูรติ(ว่าด้วยปัญหาความรุนแรง)

 
  มนุษย์หลายคนในเมืองไทยตอนนี้มีความโหดเหี้ยมอย่างเหลือเชื่อ ความเจ็บปวดมากมายจากความรุนแรงที่หัวใจของมนุษย์บางคนแบกเอาไว้ มันได้ก่อให้เกิดความแบ่งแยกอย่างรุนแรงและนับวันปัญหามันก็ยิ่งบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ   มนุษย์หลายคนล้วนทำตามความคิดและความฝันของคนอื่น ความหวังความฝันและความปราถนาบางอย่างก็ยังเป็นหน้ากากใบหนึ่งที่มนุษย์ถูกชักจูงให้จำใจต้องสวมใส่เอาไว้

       มนุษย์ยึดเอาสงครามไว้ในวิถีชีวิต มนุษย์มีปัญหาเป็นสมบัติส่วนตัวและมีความซ้ำๆซากๆเป็นความจริงที่สุด...

      วันนี้คงไม่มีใครกล้าออกมาบอกว่าเชื่อฉันเถอะเชื่อผมเถอะเพราะที่ผ่านมาก็เป็นเพราะความเชื่อนี่แหละที่เป็นตัวสร้างปัญหา..

      แต่คุณคิดว่าปัญหาและความรุนแรงคือตราบาปและความผิดของคนบางคนไหมหรือมีบางสิ่งบางอย่างกำหนดให้ต้องเป็นอย่างนี้ ..และมันคืออะไรหรือ..????

      ผู้เขียนคงไม่บังอาจเจ๋อบอกว่าเชื่อฉันซิฉันรู้แต่จะขอพึ่งผู้รู้ทางปรัชญาเอาบทความที่เขาได้แสดงทัศนะไว้มาให้อ่านกันนะคะ..ซึ่งผู้เขียนก็ตระหนักและกลั่นกลองด้วยความรับผิดชอบเท่าที่คิดว่าตนเองมีหลายรอบแล้วก็เห็นว่าเป็นอันสมควรดีที่จะนำเสนอ (อันนี้คิดเอาเอง) แต่หากผู้อ่านอยากรู้ว่ามันน่าจะดีหรือไม่นั้นก็ต้องลองอ่านดูนะคะ (เป็นการหลอกล่อให้อ่านอย่างมีพิธีกรรม อิอิ.)


     กฤษณะ มูรติ กล่าวไว้ว่า “ การแบ่งแยกทั้งหลายของชนชาติและเผ่าพันธุ์ล้วนมีอุดมการทั้งหลายเป็นต้นเหตุ” การแบ่งแยกทางอุดมการณ์ ก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่อาจคาดคะเน ทำให้เกิดความเกลียดชังและความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อุดมการณ์ทั้งมวลล้วนโง่เขลา ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทางศาสนาหรืออุดมการณ์ทางการเมือง เพราะมันคือการคิดในกรอบ พูดในกรอบ ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกมนุษยชาติออกจากกัน

    อุดมการณ์เหล่านี้ชักนำให้เกิดสงคราม แม้จะมีการอดทนข่มกลั้นทางศาสนาอยู่ แต่มันก็สามารถทนได้จนถึงขีดหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็คือการทำลายล้าง วิหิงสา ความโหดร้าย ความรุนแรง กลายเป็นสงครามทำลายล้างกันขึ้น

      เป็นไปได้ไหมที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ก่อความรุนแรง อยู่อย่างมีเสรีภาพ อยู่อย่างมีคุณธรรม เสรีภาพเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่มิใช่เสรีภาพที่จะให้ปัจเจกบุคคลทำอะไรก็ได้ตามที่เขาพอใจจะทำ

       มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอาศัยอยู่แห่งใดในโลกนี้ล้วนถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขทางสังคม ทางวัฒนธรรม ด้วยโครงข่ายความคิดทั้งหมดของเขา เราลองตั้งคำถามกับตนเองซิว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นอิสระจากเงื่อนไขเหล่านี้ ไม่ใช่ในเชิงอุดมคติ หรือในเชิงความคิดแต่เป็นอิสระจริงๆ ทางใจเป็นอิสระอยู่ภายในคุณทำได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ก็ไม่เห็นว่าเราจะมีประชาธิปไตยหรือความประพฤษชอบได้อย่างไรเช่นกัน

     เสรีภาพไม่ใช่สภาวะที่จิตใจถูกยึดกุมคุมขังด้วยความคิด ความคิดไม่เคยมีอิสรภาพ ความคิดเป็นเพียงการตอบสนองต่อความทรงจำ ความรู้ การส่งต่อ การถูกยัดเยียด และจากประสบการณ์เท่านั้น

      ฉะนั้นความคิดจึงเป็นผลผลิตของอดีตเสมอ มันไม่อาจทำให้เกิดเสรีภาพเพราะเสรีภาพเป็นสิ่งที่ต้องดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ ในชีวิตประจำวัน เสรีภาพมิใช่เสรีภาพจากบางสิ่งบางอย่าง เสรีภาพจากบางสิ่งบางอย่างเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบโต้เท่านั้น

       ขบวนการฮิตเลอร์และคอมมิวนิสต์ในอดีตได้อ้างถึงอุดมการณ์ของตนผ่านโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้คนทำตามแนวทางของเขาด้วยการบังคับ ข่มขู่ และการให้คำมั่นสัญญาอย่างลวงๆ เราอาจแลเห็นปรากฏการณ์นี้อุบัติขึ้นที่ใดก็ได้ในโลก

      มนุษย์ให้ความหมายและให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความคิดเสมอ ยิ่งมีความชำนาญเฉพาะมากเท่าไหร่ ยิ่งมีปัญญาฉลาดมากเท่าไหร่ความคิดก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดมากเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องมีคำถามว่า “ความคิดเคยแก้ปัญหาของมนุษย์ได้หรือไม่?????

      ...แล้วคนในเมืองไทยเราล่ะเคยมีคำถามกับตัวเองบ้างหรือเปล่าว่าตัวคุณ ณ.ขณะนี้กำลังถูกจองจำด้วยอุดมการณ์ ด้านความคิดของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือของกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอยู่บ้างหรือเปล่า ????

    คุณ...ได้ใช้เสรีภาพในการเลือกเสรีภาพให้ตัวเองได้อย่างถูกต้องแล้วหรือไม่ เสรีภาพไม่ใช่ด้วยความคิด
  
     แต่...เป็นเสรีภาพที่จะใช้ชีวิตโดยเป็นอิสระจากข้อผูกมัดทางความคิดหรือคำมั่นสัญญาลวงๆจากกลุ่มคนใดๆ

 ....เราทุกคนในเมืองไทยตอนนี้จะรู้ตัวเองบ้างหรือเปล่าว่าเรากำลังอยู่ในกรงขังของอุดมการณ์และค่านิยมที่ผู้อื่นยื่นให้และชวนให้เราเชื่อถึงความวิเศษลมๆแล้งๆของสิ่งนั้น แม้คุณจะบอกว่าคุณยินดีที่จะถูกคุมขัง แต่คุณก็จงรับรู้ไว้ด้วยว่า ในกรงขังนั้นแม้มันจะเป็นกรงขังที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีถึงมันจะสวยงามสักเพียงใด หากผู้ถูกคุมขังจะเป็นอิสระได้ก็ต่อเมื่อเขาไม่ได้อยู่ในกรงขังอีกต่อไปเท่านั้น....


                                                                                                          ...วัคซีน...