วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

~อิสระภาพบนหน้ากากสังคม~

เรามีอิสระทุกอย่างแต่มีอะไรบ้างที่เราไม่สามารถทำได้กับเสรีภาพนั้นที่เรามี?

 เราคิดว่าที่ใดมีทางเลือกที่นั้นเรามีอิสระภาพ  ทำไมเราคิดอย่างนั้น

ทำไมเราจะต้องมองหาทางเลือก ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง

ทำไมเราต้องมองหาทางเลือกและเลือกทางเดินให้ตัวเองด้วยแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

ทำไมทางเลือกของเราถึงต้องถูกชักจูงให้เชื่อ ให้ทำตาม ให้จำใจ ให้สวมใส่เพื่อให้เข้ากันได้กับสังคม

เราแน่ใจแล้วหรือว่ากรอบของสังคมที่เราอยู่นั้นมันคือสิ่งที่ถูกต้องมันคืออิสระเสรี?

คุณคิดว่าเสรีภาพคืออะไร และอะไรที่จะทำให้เราขาดไปซึ่งสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพ คุณเคยรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่คุณเลือก และทุกครั้งที่คุณมองหาทางเลือก นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมในการ ลดทอนอิสระภาพด้วยตัวของคุณเอง

เราอยู่ในสังคมนี้ด้วยกรอบของวัฒนธรรม กรอบของธรรมเนียมปฏิบัติ กรอบของความเชื่อ เรายึดมั่นไว้เป็นสมบัติความเชื่อส่วนตัวของตนเราทำตามในสิ่งที่สังคมบอก เราทำตามสิ่งที่สังคมเชื่อ เราทำตามสิ่งที่สังคมชี้นำ เราทำตามๆกันจนอาจจะเรียกได้ว่าเราเป็นคนของอดีตไปแล้วก็ได้ เราไม่ได้เป็นคนใหม่เราไม่ได้เป็นคนที่มีอิสระเสรีที่แท้จริงเลย

มีคนบอกเราว่ามนุษย์ต้องก้าวไปข้างหน้า เราก็พัฒนาวัตถุ แล้วเราก็เดินตามวัตถุ เราสร้างค่าให้วัตถุแล้วเราก็หลงไหลในวัตถุ เราพัฒนาตนเองแล้วเราก็หลงตัวเอง เราสร้างค่าให้ตัวเองแล้วเราก็หลอกตัวเอง เราหนีๆความรู้สึกของตัวเองแต่เราก็วางกับดักไว้ให้ตัวเอง เราไม่มีทางออกเราสับสนเราไปไหน?

เราก็หันไปหาพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือตัวเองแล้วเราก็แต่งตั้งตัวเองว่าเป็นผู้ทรงภูมิ เราตั้งตนเป็นคนเหนือคน เราพยายามสร้างให้คนอื่นเชื่อด้วยการอ้างถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน นี่คืออิสระทางจิตที่เรามีหรือ มายาคติหรือ หน้ากากหรือ คัมภีหรือ พระเจ้าหรือ จิตไร้สำนึกหรือ จิตใต้สำนึกหรือ หรือจิตสำนึก หรือ หรืออะไร??คุณหาคำตอบให้ตัวเองได้ไหม???

อะไรในโลกนี้ที่คุณบอกว่าใช่คุณเชื่อในอะไร คุณเดินตามใคร คุณตัดสินด้วยอะไร คุณเห็นภาพจากสัมผัสไหนทุกครั้งที่คุณมอง ตาหรือ ความรู้สึกหรือ สิ่งที่เขาบอกหรือ สิ่งที่มันควรเป็นหรือ หรือสิ่งที่นอกเหนือออกไป

คุณอยากเห็นอิสระภาพคุณอยากมีเสรีภาพ แล้วคุณ...เคยให้อิสระภาพกับสิ่งที่คุณมองเห็นกับสิ่งที่คุณรู้สึกไหม?

คุณกักขังอิสระภาพด้วยการอยากจะให้สิ่งนั้นมันเป็นอย่างนั้นที่คุณตั้งใจให้มันต้องเป็น คุณไม่เคยให้อิสระสิ่งนั้นเป็นในสิ่งที่มันควรจะเป็น   และคุณก็แค่มองดูความสวยงามของมันในแบบที่มันเป็นอย่างมีอิสระ

 เราไม่เคยให้อิสระภาพกับตัวเราเองเลยแล้วเราก็พร่ำหาอิสระภาพอยู่ร่ำไป...เพราะอะไร..ทำไม..ยังไง???เป็นคำถามที่คุณต้องหาคำตอบ..

คนบางคนสวมใส่หน้ากากไว้หลายๆชั้นเพื่ออำพรางใบหน้าที่แท้จริงเพื่อให้เข้ากับสังคมเพื่อต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ยืนอยู่ในสังคมและเมื่อถอดหน้ากากออกทีละชั้นเมื่อต้องแสดงออกบนจุดยืนจุดหนึ่งของตน สิ่งที่อยู่ข้างในหน้ากากนั้นก็ยังเป็นหน้ากากอยู่ดีไม่มีใบหน้าที่แท้จริงแต่อย่างใด..

..วัคซีน..

6 ความคิดเห็น:

markhun กล่าวว่า...

กับคำว่า “อิสระภาพ” “เสรีภาพ” ผมมองว่ามันก็มีข้อจำกัดของมันอยู่ สุดท้ายแล้วอิสระภาพก็ต้องเดินคู่ขนานมากับกรอบของธรรมเนียมปฏิบัติ กรอบของความเชื่อ กรอบของกฎหมาย กรอบของสังคม อิสระภาพที่แท้จริงอาจไม่มีอยู่ในโลก แต่กรอบเหล่านี้ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง มันทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ บางครั้งเราก็ต้องตั้งขีดจำกัดของ “อิสระภาพ” “เสรีภาพ” ของเราเองว่าตั้งค่าให้กับคำสองคำนี้ประมาณไหน เราก็จะอยู่กับกรอบที่มาคู่กับอิสระภาพได้อย่างไม่อึดอัด และอยู่อย่างเข้าใจ เพราะโลกเรามีสองด้านเสมอ อิสระภาพก็มาคู่กันกับข้อบังคับ เพื่อไม่ให้เราใช้มันอย่างเลยเถิด

มนุษย์เรามีความแตกต่างกันเป็นธรรมชาติ ขีดจำกัดของอิสรภาพในแต่ละตัวบุคคล ในแต่ละสังคมก็ย่อมให้น้ำหนักที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา

ผมว่าบางครั้ง เพราะเราเชื่อมั่นเราจึงเลือกเดิน เลือกทำในสิ่งที่เรารัก โดยปราศจากการแรงชักจูงหรืออิทธิพลใดๆทางสังคมที่เข้ามากระทบ ตราบใดที่เราเชื่อมั่นในตัวเอง ศรัทธาในสิ่งที่เราทำอยู่และทำไปบนหลักของศีลธรรมความดีงาม (กรอบ) อิสรภาพและเสรีภาพในทางเดินของตัวเราก็เกิดขึ้นแล้ว อิสรภาพเพราะเราได้เลือก ได้ทำในสิ่งที่เรารัก จากใจของเราจากตัวเราเองอย่างมีเสรีภาพเพราะทางที่เราเลือกเดิน เลือกทำนั้นอยู่บนหลักในกรอบของศีลธรรมความดีงาม ไม่ไปเบียดเบียน ทำร้ายทำลายใคร กรอบอื่นๆที่ตามมาก็ย่อมลดลงหรือเกือบจะไม่มี (ความคิดเห็นนี้ผมขอเสนอในฐานะของคนทำงานศิลปะ ที่ได้เลือก ได้ทำและได้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ตัวผมเลือกเอง)

อิสระภาพบนหน้ากากของสังคม ผมคิดว่า หน้ากากนี้ตีความ อุปมาอุปมัยว่าเป็นกรอบ ข้อบังคับ นะครับ นัยยะของหน้ากากนี้อาจจะไม่ตรงกับบทส่งท้ายที่คุณวัคซีนกล่าวถึง คือจากที่ผมอ่านแล้วตีความหมายโดยรวมแล้ว ผมคิดว่า จากชื่อบทความและเนื้อหาคำว่าหน้ากากเป็นการล้อกับคำว่าอิสรภาพ เพราะ อิสรภาพที่สังคมกำหนดให้นั้น เป็นกลลวง เป็นเพียงมายาคติ ไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง ถ้ายังไงช่วยชี้แนะด้วยนะครับถ้าผมเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไป แล้วผมจะตามอ่านบทความที่คุณวัคซีนเขียน มีประเด็นที่น่าสนใจ ชวนคิด เป็นประโยชน์มากครับ ขอบคุณครับ

markhun กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับที่ช่วยอธิบาย ขยายความ ผมได้ตามอ่านบทความ “เสรีภาพที่คนไทยพึงมี”แล้ว ก็เข้าใจดีขึ้นครับถึงความหมายของ “เสรีภาพ” ในด้านต่างๆ ที่คุณวัคซีนได้ให้ไว้และที่ได้หยิบยกตัวอย่างมาจากนักปรัชญาหลายๆท่าน รวมถึงส่วนขยายความเข้าใจในบทความ ความหมายของหน้ากากจากทัศนะของคุณวัคซีนด้วย เป็นประโยชน์มากครับ

ผมเห็นด้วยครับกับวลีที่ว่า “การเลือกถูกตั้งแต่ทีแรกแล้วปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น” มันสำคัญคือเราต้องเลือกให้ถูก เพราะคำว่า “ถูก” ก็เป็นนัยยะของ “ความดีงาม”

แต่มีอยู่นิดนึงครับ ผมว่าบางสถานการณ์ (เอาเป็นว่า ณ ปัจจุบัน) การที่คนเรา มีความคิด มีทัศนะคติ ที่เห็นด้วยกับการชี้นำของใครหรือกลุ่มใด ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองหรือคุณค่าของความเป็นมนุษย์เสียทั้งหมดนะครับ แต่ความคิดหรือทัศนะที่เห็นด้วยเหล่านั้นอาจจะตรงกับวิธีคิด-แนวความคิดของเรา ตรงกับจริตของเราและที่สำคัญความคิด-ความเชื่อเหล่านั้นต้องเป็นส่วนที่ถูกต้องดีงามไม่ขัดกับคุณธรรม-ศลีธรรมใดๆและการที่เราสนับสนุนหรือเห็นด้วยก็เป็นเสมือนหนึ่งการต้องสู้ให้ความดีดำรงอยู่ได้ และเป็นกำลังใจให้คนดีได้ทำงาน สิ่งเหล่านี้ผมมองว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนในสังคมที่จะเป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกันเพื่อให้สังคม เพื่อให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้า ส่วนตัวผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เลือกที่จะเชื่อและไม่เชื่อจากความคิด ความรู้สึกของตนเองเป็นหลักเช่นกันตราบใดที่ความคิด ความเห็นเหล่านั้นไม่ผิดต่อหลักคุณธรรม-จริยธรรม ผมมองว่าสิ่งๆนี้ลึกๆแล้วก็เป็นเสรีภาพของการเลือกที่ออกมาจากตัวเราเองไม่ได้ไปตามอยู่ภายใต้อิทธิพลหรือการชี้นำของใคร แต่บุคคลเหล่านั้นเป็นแนวร่วมทางความคิดของเรามากกว่า

ถ้ายังไงผมรบกวนคุณวัคซีนช่วยชี้แนะ ขยายความด้วยนะครับถ้าผมเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไป บางจุดที่คุณวัคซีนได้แสดงทัศนะไว้มันค่อนข้างตีความได้กว้าง ผมก็จะจับในเฉพาะประเด็นที่ผมรู้สึก ซึ่งผมยอมรับว่าบางเรื่องความรู้ ความคิดของผมยังไปไม่ถึง ชั่วโมงบินผมยังน้อยช่วยแนะนำ ขัดเคลาด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ

markhun กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ ที่ช่วยชี้แนะขยายความ ชัดเจนมาก ผมหลงประเด็นไปจริงๆ คำถามที่คุณวัคซีนตั้งเป็นการสะท้อนทัศนะ-ความคิดส่วนตัวที่แยบยล คมคาย

กระบวนการ ขั้นตอนทางความคิดเรื่องเสรีภาพของคุณวัคซีนซับซ้อน ลึกซึ้งมากครับ ผมยังอ่านบางสถานการณ์ที่เหลือมล้ำไม่ขาด มองข้ามบางจุดไป อาทิ ในสถานการณ์ที่ว่า ระหว่างการยืนยันกันไปมา มีอะไรใหม่เกิดขึ้นระหว่างความคิดที่ตรงกันข้ามไหม เมื่อเรารบเราต้องการแค่ชัยชนะ ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับฝ่ายตรงข้ามกับความคิดเราเค้าก็คิดเช่นกัน พอมาถึงตรงนี้ลองคิดดูซิว่าอะไรที่เราเสียไปทั้งสองฝ่าย “เราสูญเสียเสรีภาพ" (และรวมถึงการที่เราได้ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นด้วย) เพราะเราโต้กันด้วยการทำลายล้างทางความคิดซึ่งเราทึกทักกันว่านั่นคือสิทธิ

“เสรีภาพบางครั้งก็เหมือนศิลปะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางตรรกะ ไม่ต้องการความรู้สึกร่วมที่ตรงกันของคนหมู่มาก ไม่ต้องให้คนหมู่มากออกมาให้เหตุผลที่แท้จริงของความรู้สึก แต่..แค่ทุกคนได้ดูแล้วมีความรู้สึกร่วมที่รวมแล้วมันคือความสุขมันคือความปลอดโปร่ง มันคือจินตภาพที่ไร้เดียงสา คือความบริสุทธิ์ทางความคิดของแต่ละคน..เราต้องการแค่นั้น แค่นั้นจริงๆคือเสรีภาพที่แท้จริง มันคือศิลปะของชีวิต เราไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่านั้น” ความคิดที่คุณวัคซีนอุปมาอุปมัย เทียบแย้ง ระหว่างเสรีภาพกับงานศิลปะนี้ ชัดเจนครับ เสรีภาพของคุณบริสุทธิ์มาก ในทางศิลปะ การเสพสุนทรียภาพของผลงานในลักษณะนี้เป็นงาน ศิลปะนามธรรม ( Abstract ) ที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือตีความว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคืออะไร เป็นรูปอะไร เพราะอะไร ไม่ถูกชักจูง ชี้นำ ไม่ต้องการความรู้สึกร่วมที่ตรงกันของคนหมู่มาก แต่สามารถแตกแขนงความคิด-ความรู้สึกเฉพาะตัวบุคคลจากประสบการณ์ของเขาเอง มันคือจินตภาพที่ไร้เดียงสา คือความบริสุทธิ์ทางความคิดของแต่ละคนครับ ใช่เลยครับ

ผมไม่ได้ชมหรือเห็นด้วยเพื่อที่จะไปปิดกั้นอิสรภาพของการพัฒนานะครับ แต่ผมยอมรับด้วยความสดุดีจริงๆ ขอบคุณครับ

vaczeen กล่าวว่า...

...การที่เราร่ำร้องเรียกหาความหมายของเสรีภาพ อิสระภาพนั้น เราไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเสรีภาพที่เเท้จริงนั้นเป็นเช่นไรรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร หรือให้คุณประโยชน์อย่างไร โดยทุกวันนี้เรายังพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่.... "บางที่อิสระภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงเเค่เราหลับตานอนลงมีเพียงความมืดจากเปลื่อกตาเท่านั้นอาจเป็นอิสระภาพที่เเท้จริงก็ได้"

เมื่ออิสระภาพที่เราต้องการมันจะมาพร้อมๆกับขนบธรรมเนียม หรือจริยธรรมทางสังคม เเล้วเราต้องมาอธิบายเเละยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดเเละสิ่งที่เราทำนั้นถูก อิสระภาพเเละเสรีภาพต่างๆมันก็ได้ถูกลดทอนไปพร้อมๆกับเหตุผลต่างๆนาๆมากมาย เเล้วสิ่งที่เราคิดหรือกระทำนั้นเป็นเสรีภาพหรือ , ในคำว่าเสรีภาพของผมนั้นมันเกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่เกิดขึ้นของตนเอง มิใช่เกิดจากทางเลื่อกหรือกรอบใดๆที่ว่างไว้ ดังนั้นเราเองก็มีเสรีภาพที่จะทำ หรือจะไม่ทำก็ได้ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปของการกระทำเเละความเป็นจริงในห่วงเวลาปัจจุบัน

สิ่งที่ได้มาจากเสรีภาพต่างๆที่ได้ตัดสินใจหรือการกระทำดังกล่าวนั้นมันก็เป็นการสิ้นสุดของอิสระภาพเช่นกัน
เราไม่มีทางที่จะมีเสรีภาพเเละอิสระภาพอย่างถาวร หรือเเท้จริงในโลกของสัตว์สังคม อาจมีเพียงการหลับตาอยู่กับตัวเองภายใต้ความมือของเปลือกตาเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ของอิสระภาพที่เเท้จริง

"ข้าพเจ้าไม่เคยกังวลว่าข้าพเจ้าจะมีเสรีภาพหรือไม่...เเต่สิ่งที่คิดเเละต้องการมากที่สุดคือพื้นที่ของอิสระภาพของตัวข้าพเจ้า"

vaczeen

วัคซีน กล่าวว่า...

"คำตอบและคำชี้แจงที่ตอบไว้ที่หลายคนสงสัย"

ขอบคุณนะคะสำหรับคำชี้แนะดีมากค่ะที่เป็นกระจกให้ บางทีบทความของดิฉันอาจจะใช้เสรีภาพทางความรู้สึกของตัวเองมากเกินไปมันก็เลยทำให้ไม่ชัดเจนและไม่เข้าใจในบางอย่าง ดิฉันอยากแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วในตัวของมนุษย์เองคือความว่างเปล่า แต่ด้วยการปฏิเสธที่ถูกต้องเราถึงมีคุณค่าขึ้น สิ่งที่ใช้ยืนยันคุณค่าของมนุษย์ก็คือเสรีภาพในการเลือกของตัวเราเอง หากเรายินยอมให้ผู้อื่นหรือให้สังคมใช้เสรีภาพในการเลือกของเราวินาทีนั้นเราได้เสียคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ที่เรามีมาไปแล้ว ซึ่งดิฉันต้องการให้มันสะท้อนถึงสภาพของสังคมไทย ณ.ขณะนี้ ที่เราออกมาเรียกร้องแต่ภายใต้การเรียกร้องนั้นมันไม่ใช่เป็นการเลือกโดยตรงของเราเลย มันเป็นการเรียกร้องผ่านกฎ ผ่านขบวนการซึ่งมันอาจจะเป็นกรอบหรือเป็นความเชื่อที่อีกคนหนึ่งทำได้ในอดีต เราก็ทำเช่นเดิมอย่างนั้นเพราะเราคิดว่าเราจะได้อิสรภาพจากสิ่งที่เราไม่ต้องการแต่มันก็ไม่เกิดผลเพราะเมื่อเวลาผ่านไปความเชื่อก็เปลี่ยนกรอบก็เปลี่ยน
สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดกรอบหรือขอบเขตเสรีภาพของมนุษย์นั้นก็คือเหตุและผลคือความรับผิดชอบ อันเกิดจากมโนธรรมของมนุษย์เอง ไม่ว่าจะเป็นกฎของสังคมหรือกฏหมายเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามวาระของสังคม จึงอยากสะท้อนว่าในขณะที่เราเรียกร้องอิสระภาพอย่างไม่มีสิ้นสุดนั้น ตอนที่คุณเริ่มเลือกตอนที่คุณมีสิทธิ์ใช้เสรีภาพในการเลือกนั้นคุณได้ใช้มันถูกหรือยัง คุณเลือกเองหรือมีใครมาเลือกให้คุณ
ส่วนชื่อที่ตั้งว่าอิสรภาพบนหน้ากากของสังคมนั้นก็อยากแสดงให้เห็นว่า คนที่อยู่ในสังคม ล้วนต้องสวมหน้ากากเข้าหากันหรือสวมหมวกของกฎของภาระหน้าที่ เพื่ออยู่ เพื่อเอาชีวิตรอด ความหวังหรือความฝันบางครั้งมันก็คือหน้ากากใบหนึ่งที่มนุษย์ถูกชักจูงให้ต้องสวมใส่เอาไว้เพราะฉะนั้นในสังคมหรือกฏของสังคมไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะออกมาแสดงออกหรือเรียกร้องซึ่งเสรีภาพ แต่เสรีภาพต้องเริ่มต้นเลือกจากตัวเรา เมื่อคุณเลือกถูกตั้งแต่ทีแรกปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ ดิฉันเคยเขียนเรื่องเสรีภาพนะคะไม่ทราบว่าได้อ่านหรือเปล่า ซึ่งในเสรีภาพดิฉันหมายถึงความรับผิดชอบ เหตุผลชอบ การปฏิเสธชอบ ชอบในที่นี้คือชอบด้วยตัวเองไม่ใช่ความชอบของผู้อื่น เพราะสิ่งที่เราชอบและเลือกให้ตัวเองแล้วย่อมดีต่อบุคคลอื่นด้วย มันจะไม่มีอะไรดีต่อตัวของผู้เลือกเลยถ้าไม่ดีต่อผู้อื่น โลกนี้มีสองด้านค่ะมนุษย์ก็มีสองภาค ภาคที่แท้จริงกับภาคที่เราต้องสะท้อนกลับไปให้สังคม คุณเลือกได้ค่ะว่าจะสะท้อนภาคไหนภาคที่เราเลือกเองคือเสรีภาพหรือภาคที่คนอื่นเลือกให้เราต้องสะท้อนออกไป ถ้ามีข้อสงสัยส่วนไหนก็ถามมาได้นะคะ ดีค่ะเราจะได้ดีเบตกันมันจะได้เกิดมุมมองที่แตกต่าง
ขอบคุณนะคะสำหรับข้อชี้แนะชอบคำชีแนะคะไม่ชอบคำชมเพราะมันจะไปปิดกั้นอิสรภาพของการพัฒนา 555+อิสระภาพอีกแล้วหรอเนี่ยอิอิ ...วัคซีน....

วัคซีน กล่าวว่า...

ดิฉันจะตั้งคำถามดีกว่านะคะเอาเป็นว่า ถ้าคุณทำความดีแล้วแต่ในความรู้สึกร่วมของคนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่ามันยังไม่ใช่ มีคนต่อต้านการกระทำของคุณ แต่ด้วยความที่คุณมั่นใจในความรู้สึกของตนเองกอรปกับต้องการแสดงให้คนหมู่มากยอมรับในความคิด จึงต้องรวมความคิดเข้ากับคนกลุ่มที่เค้าเห็นตรงกับคุณเพื่อยืนความถูกต้อง คนกลุ่มหนึ่งก็รวมพลังให้มากเช่นกันเพื่อมายืนยันความไม่ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนี้แน่นอนค่ะมันคือเสรีภาพที่ทุกคนสามารถกระทำได้ คำถามมีอยู่ว่าเวลาตรงนั้นระหว่างการยืนยันกันไปมา มีอะไรใหม่เกิดขึ้นระหว่างความคิดที่ตรงกันข้ามไหมคะ เมื่อเรารบเราต้องการแค่ชัยชนะ ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับฝ่ายตรงข้ามกับความคิดเราเค้าก็คิดเช่นกัน พอมาถึงตรงนี้ลองคิดดูซิคะว่าอะไรที่เราเสียไปทั้งสองฝ่าย “เราสูญเสียเสรีภาพค่ะ"เพราะเราโต้กันด้วยการทำลายล้างทางความคิดซึ่งเราทึกทักกันว่านั่นคือสิทธิเสรี ถ้าเราไม่เข้าร่วมขบวนการเราต้องถูกเหยียดหยามทางความคิดไม๊คะ แน่นอนค่ะไม่ ถ้าคุณไปทำบุญคุณต้องการให้คน100คนมายืนยันว่าคุณไปทำบุญมาเพื่อคุณจะได้บุญเต็มที่หรือเปล่าคะ ซึ่งก็คงไม่ใช่เช่นกัน แต่ถ้าหากคุณไปฆ่าคนตายทางที่คุณจะรอดความผิดได้ คือหาคนมายืนยันให้ได้มากที่สุดว่าคุณไม่ได้ทำเพื่อยืนยันความถูกต้องอย่างนั้นได้หรือเปล่าคะ..และถ้าหากการกระทำอย่างนั้นสังคมบอกว่าใช่ล่ะคะ สังคมบอกต้องยอมรับในความคิดของคนหมู่มาก แล้วภายใต้จิตสำสึกเราล่ะคะเรารู้สึกด้วยตัวเราเองไหมว่าเราได้ล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นแล้ว

" นี่คือคำถามนะคะและก็เป็นสิทธิ์ที่คุณจะเสนอแนวคิดได้นอกเหนือออกไปมากกว่านี้นะคะ"

การค้นหาอะไรก็แล้วแต่คุณต้องปลดแอกจากความคิดที่เคยมี เสรีภาพไม่ต้องการภาระ เสรีภาพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยจำนวนคนที่มากกว่า เสรีภาพไม่ได้เกิดขึ้นด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ เสรีภาพไม่เกิดขึ้นเพราะการปฏิวัติ ถ้าการปฏิวัติสร้างเสรีภาพได้จริงเมืองไทยไม่มีปัญหาแล้วค่ะเพราะเราปฏิวัติกันหลายรอบแล้ว การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานที่สุดนั้น..คือการเปลี่ยนแปลงจากภายในอันเกิดจากการเข้าถึงอิสรภาพในทางจิตวิญญาณ เสรีภาพบางครั้งก็เหมือนศิลปะนะคะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางตรรกะ ไม่ต้องการความรู้สึกร่วมที่ตรงกันของคนหมู่มาก ไม่ต้องให้คนหมู่มากออกมาให้เหตุผลที่แท้จริงของความรู้สึก แต่..แค่ทุกคนได้ดูแล้วมีความรู้สึกร่วมที่รวมแล้วมันคือความสุขมันคือความปลอดโปร่ง มันคือจินตภาพที่ไร้เดียงสา คือความบริสุทธิ์ทางความคิดของแต่ละคน..เราต้องการแค่นั้นค่ะ แค่นั้นจริงๆคือเสรีภาพที่แท้จริง มันคือศิลปะของชีวิตค่ะเราไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่านั้น..ขอบคุณนะคะ ...วัคซีน...