วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

~พรุ่งนี้ก็สายไปสำหรับเมืองไทย~

   

    ประเทศไทยในวันนี้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยความสับสน วิตกกังวล รุนแรง สิ้นหวัง เงอะงะ แสวงหา บ้าอำนาจ มีความละโมบ แก่งแย่งแข่งขันกันไม่รู้จบ

     สังคมถูกแบ่งแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถก้าวเข้ามาแล้วเดินนำหน้าพาเราทั้งหลายเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ ไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งภายในและภายนอก

     ผู้มีอำนาจขาดความน่านับถือ วาทศิป์ที่สวยงามฟังกันจนเป็นเสียงดนตรี ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์และเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ต้องอาศัยประเทศไทยแห่งนี้อยู่ ผู้เขียนสงสัยเหลือเกินว่าเราแต่ละคนมีความรู้สึกที่จะรับผิดชอบต่อความวุ่นวายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในสังคมเราอย่างไรบ้าง

     “มีบางคนอาจพูดว่าฉันไม่ได้เป็นผู้ก่อ มันเกินกำลังไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”

แต่เราลืมไปว่าเราคือผู้สร้างสังคมเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราคือโครงสร้างทั้งหมดของปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เราจึงต้องรับผิดชอบต่ออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา ไม่ใช่แค่นิ่งเฉย หรือโดนจูงจมูก ให้ทำอะไรก็ได้ตามคำสั่งของผู้บงการ

     ความรับผิดชอบไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ดูดีพูดแล้วลืมไป พูดแล้วพูดอีกพูดใหม่แต่ไม่ได้เกิดผลอันไพบูรณ์แต่อย่างใดเลย

     ความรับผิดชอบต้องเกิดขึ้นจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เกิดจากข้างในจิตใจของเราจริงๆ เราต้องรู้สึกรับผิดชอบต่อความแบ่งแยก ความขัดแย้ง ความเจ็บปวด ต่อคราบเลือดคราบน้ำตา ต่อความทุกข์โศก การตายจาก  ความอดอยากหิวโหย และจากการถูกครอบงำ

     เพราะสังคมเราในวันนี้จะหวังพึ่งพิงผู้มีอำนาจอยู่ตลอดไปมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแล้ว เราก็คงจะเห็นและสัมผัสได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถ้าพวกเขาพึ่งพิงได้จริงๆถ้าพวกเขามีความรับผิดชอบและรักประเทศไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามใดๆในวันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะไม่มีให้เกิดขึ้น...

     แต่คนไทยรอวันพรุ่งนี้มานานมากแล้ว เมืองไทยเราไม่มีเวลาให้วันพรุ่งนี้มาถึงแล้ว  เราต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติอย่างฉับผลันกับตัวของเราเอง เพื่อสังคมและการเป็นอยู่ที่แตกต่างไปจากที่มันกำลังเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิงและโดยแท้

    ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ว่าเราจะทำตัวให้แตกต่างและเปลี่ยนตัวเองเพื่อเปลี่ยนสังคมได้อย่างไร

    :เราจะถูกทำให้รู้สึกว่าอยากรับผิดชอบต่อสังคมที่ไร้ระเบียบยุ่งเหยิงมาเป็นสังคมที่สงบสุขได้อย่างไร

    :เราจะสร้างความรู้สึกดีงามให้เกิดขึ้นภายในจิตใจเราโดยไม่มีความบิดเบือนได้อย่างไร

     นี่คือสิ่งที่เราทุกคนต้องเปลี่ยนและต้องคิดให้กับตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการบังคับ ชักจูง ปลุกระดม หรือด้วยมาตรการกดดันทำให้ต้องเชื่อ ด้วยความกลัวที่ต้องหาที่พึ่งพิง เราจะไม่ทำอย่างนั้นกัน

     เพราะสิ่งนั้นคือสิ่งที่คนจำนวนมากกำลังทำกันอยู่ในตอนนี้และนั่นก็คือต้นเหตุของความยุ่งเหยิงที่เรากำลังประสบอยู่

     เมื่อคุณเห็นความยุ่งเหยิงของสังคม คุณรับรู้ถึงความไม่มีระเบียบ คุณรับรู้ถึงความโง่เขลาของผู้คนที่แสดงออกโดยมีผู้อื่นชี้นำ คุณเห็นความโหดร้าย สับสนรุนแรง เห็นการเป็นศรัตรูกันด้วยคำพูดที่มาจากความว่างเปล่า

     ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง  ก็คือ  คุณต้องทำสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณเห็น สิ่งที่คุณรับรู้ผ่านการกลั่นกรองจากตัวของคุณเอง สิ่งที่คุณรู้สึกว่ามันคือความน่าอับอาย ตื้นเขิน มืดทึบทางปัญญาคุณจะต้องปฏิเสธมัน คุณจะต้องไม่ทำตามเหตุผลใดๆอันเกิดจากการปลุกระดม สร้างให้เชื่อ ครอบงำให้กลัว หรือชักชวนให้ดูน่าพึ่งพิง...

...เพียงแค่นี้คุณก็จะเป็นคนที่สร้างโลกใหม่สืบสานความสงบสันติให้เกิดขึ้นด้วยตัวของคุณเอง...



... จงเชื่อว่าอุดมคติ อุดมภาวะ อหิงสา เสรีภาพ ความรัก เป็นสภาวะที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น    สิ่งที่ดำรงอยู่คือสิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่เมื่อคุณตระหนักรู้ว่าคุณรุนแรง คุณแบ่งแยก คุณหยุดมันและนั่นก็คือ “สิ่งที่เป็นอยู่จริง” ….









......วัคซีน........

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสรีภาพที่คนไทยพึงมี

    สังคมไทยในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าผู้คนจำนวนมากที่ยอมปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามการชี้นำของผู้อื่น ทำตามอำนาจสั่งการของบุคคลอื่นหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่เคยตระหนักในตนเองเลยว่า นั่นคือการสูญเสียคุณค่าแห่งการเป็นมนุษย์ของตนเองไปจนเกือบสิ้นแล้ว เรามักได้ยินการเรียกร้อง ปลุกระดม ออกคำสั่งให้มีการประพฤติปฏิบัติตามความเชื่อ ค่านิยม ธรรมเนียมประเพณี รวมถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนไทยกันอยู่เสมอๆและเราก็ทำตามๆกันมาเสมอเป็นเวลาช้านาน

    เราไม่เคยได้รับการสนับสนุนให้มีการตรวจสอบความเป็นมาของสังคมเราเลยว่าสิ่งที่เราต้องประพฤติปฏิบัติตามนั้นมันจะยังคงใช้ได้กับเราและเป็นสิ่งที่จะถูกต้องดีงามกับเราไปจนตลอดกาลนานเลยหรือ เราไม่เคยได้รับการสั่งสอนให้เป็นคนใหม่ในสังคมเลย คนในเมืองไทยของเราจึงมักจะทำอะไรแบบเก่าๆซ้ำๆทำตามคนอื่นชี้นำให้อยู่เสมอๆ

     อาจเป็นเพราะคนไทยยังคงมีความเชื่อกับความกลัวและ/หรืออาจเป็นเพราะไม่เข้าใจในความหมายของคำว่าเสรีภาพย่างชัดเจนจริงๆ ผู้เขียนเลยอยากนำเอาความหมายเนื้อความ สารัตถะของคำว่าเสรีภาพในสาขาต่างๆมาให้อ่าน ซึ่งผู้เขียนเองคัดมาจากหนังสือปรัชญาหลายๆเล่มที่ผู้เขียนได้อ่าน โดยไม่ได้เจาะจงให้ทราบว่าเป็นของสำนักใดซึ่งผู้เขียนคิดว่ามันอาจจะเป็นการล่อแหลมทางความคิดเกินไปหากกระทำเช่นนั้น เพราะผู้เขียนตั้งใจจะสื่อสารและถ่ายทอดเนื้อความของคำว่า “เสรีภาพ”

      จริงๆแล้วความหมายของคำว่าเสรีภาพนั้นมีความอ่อนไหวอยู่ในตัวเอง การจะยึดถือการนิยามของสำนักใดๆนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะจากหนังสือปรัชญาหลายๆเล่มที่ผู้เขียนได้อ่านผู้รู้หรือนักปรัชญาหลายๆคนก็มีความขัดแย้งกันเองมีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเองซึ่งผู้เขียนเองบางครั้งก็งงๆ แต่ก็เห็นด้วยในสิ่งที่หลายๆท่านได้นิยามไว้ซึ่งผู้เขียนก็จะคัดเลือกเอาส่วนที่เป็นกลางที่สุดมาให้อ่าน เพราะคิดว่าคงจะเป็นการดีที่สุดในการตัดสินใจครั้งนี้

     ลักษณะสำคัญในความหมายของ“คำว่าเสรีภาพ”นั้นแบ่งได้เป็น2ประการ

ประการแรกคือ: เสรีภาพที่ใช้ในความหมาย อิสระจากข้อผูกพันทุกอย่าง หรือมีอิสระภาพที่จะทำอะไรก็ได้

ประการที่สองคือ: มีความหมายไปในทางทำให้เกิดความพึงพอใจ(อิฏฐารมณ์)หรือเป็นไปตามความปราถนาแห่งตนเช่น พ้นคุก นักเรียนที่พ้นจากการบังคับให้ต้องไปโรงเรียน

      เสรีภาพในความหมายนี้ก็คือความสามารถที่จะพ้นจากความไม่พึงพอใจแต่ถ้าหากผู้ใดต้องว่างงานซึ่งเป็นสภาพที่ไม่พึงพอใจ ก็ไม่เรียกว่ามีเสรีภาพ (ชักงงแล้วใช่ไม๊)ปรัชญาก็อย่างนี้แหละถ้าไม่สงสัยไม่งงไม่เรียกว่าเป็นปรัชญา..เรามาไปกันต่อดีกว่า…

     ในทางปรัชญานั้นนักปรัชญาได้นิยามความหมายของเสรีภาพว่า เป็นการปราศจากการคัดค้าน ทั้งนี้เพราะการคัดค้านย่อมทำให้เกิดความไม่พึงพอใจ ทำให้ความหวังของบุคคลไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ การคัดค้านเป็นเหตุให้สิ่งที่มนุษย์พึงพอใจพลัดพรากจากมนุษย์ไป แต่โดยแท้จริงแล้วการคัดค้านมิใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ถ้าหากการคัดค้านนั้นเป็นเรื่องของกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่วางไว้เพื่อป้องกันการล่วงละเมิดในสังคม

     นักปรัชญาหลายท่านเชื่อว่าเสรีภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถละทิ้งความเป็นเสรีภาพของตนเองได้ มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นเสรีภาพและเป็นไทแก่ตัวเอง ไม่มีใครอื่นจะบังอาจเป็นเจ้าของเขาได้โดยไม่ได้รับการยินยอม ไม่ว่าจะโดยกลวิธีใดๆ

     การจะกล่าวว่าลูกของทาสเกิดมาเป็นทาสก็เท่ากับว่าเขามิได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลย ทั้งนี้เพราะการปฏิเสธเสรีภาพก็คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์ สิทธิในฐานะที่เป็นมนุษย์และหน้าที่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งทดแทนให้เสมอได้...

    ในแนวทางการเมืองการเมือง ความหมายของเสรีภาพมีกล่าวถึงไว้เป็นแนวบวกและแนวลบ

ความหมายในแนวบวกคือ : บุคคลสามารถปกครองตัวเองได้ รัฐบาลเป็นของประชาชนไม่มีการจำกัดขอบเขตแก่ประชาชน รัฐบาลกระทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน

ความหมายในแนวลบคือ : ประชาชนมีเสรีภาพได้ภายใต้อำนาจแห่งรัฐ รัฐไม่อาจมาย่ำยีประชาชน และไม่บังคับประชาชนให้เป็นไปตามใจชอบ แต่จำเป็นต้องวางแนวทางไว้ปฏิบัติร่วมกัน

      ในด้านศาสนา แนวความคิดด้านเสรีนิยมจะปรากฎออกมาในรูปของการเลือกนับถือศาสนาตามใจปราถนา และมีความเชื่อว่า การอยู่ใกล้กับพระเจ้าไม่เป็นเหตุให้มนุษย์บรรลุการรู้แจ้งได้ แต่มนุษย์จะต้องรู้แจ้งได้โดยอาศัยการใช้เหตุผลของตนเองโดยผ่านประสบการณ์ของแต่ละบุคคล การรู้แจ้งคือแจ้งถึงคุณธรรมในตัวมนุษย์ มิใช่การรู้สัจธรรมที่ได้รับจากพระเจ้า

     ทางด้านเศรษฐกิจนั้น เสรีภาพคือการยอมรับว่าบุคคลแต่ละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านธุรกิจ โดยถือว่ากิจกรรมของสังคมสามารถประสานกลมกลืนกันได้โดยปล่อยให้แต่ละบุคคลดำเนินการเพื่อผลประโยช์ส่วนตัวของตน บุคคลแต่ละคนมีธรรมชาติที่จะยกระดับตนเองเพื่อบรรลุถึงความต้องการตามธรรมชาติของตน

     ถ้าปล่อยให้มนุษย์กระทำตามธรรมชาติ ผลพลอยได้ก็คือ สังคมโดยส่วนรวมจะเจริญขึ้น เพราะสิ่งที่มนุษย์เลือกให้ตนย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อบุคคลอื่นด้วย ทั้งนี้เพราะสิ่งที่มนุษย์เลือกให้ตนเองนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม “ไม่มีอะไรดีสำหรับตัวของผู้เลือกถ้าหากว่าไม่ดีสำหรับผู้อื่น”

      ดังนั้นรัฐจึงไม่ควรเข้าไปควบคุมกิจกรรมของปัจเจกบุคคล รัฐควรปล่อยให้บุคคลแต่ละคนได้ใช้พลังสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะถูกชักนำให้กระทำกิจกรรมอันมีผลดีแก่สังคมส่วนรวมโดยไม่ตั้งใจ....

“ลักษณะโดยทั่วไปของแนวความคิดด้านเสรีภาพก็คือส่งเสริมให้มนุษย์ได้มีอิสระในการใช้ชีวิต กระตุ้นให้คนมีการพัฒนาเสริมสร้างความคิดความสามารถของตนเอง เพราะมนุษย์ย่อมมีตนเองเป็นสิ่งสำคัญ”

....ผู้เขียนหวังว่าบทความที่ได้คัดสรรค์มาให้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับสภาพของสังคมไทยเราที่กำลังวุ่นวายยุ่งเหยิงเพราะคนหลงลืมในสิทธิเสรีภาพแห่งตน....  



                                                                                                        .....วัคซีน……

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปรัชญาการเมือง

 
 ~ในสภาวะที่การเมืองกำลังวุ่นวายบ้านเมืองก็ร้อนระอุเป็นไฟอยู่ในขณะนี้....คุณเคยคิดอยากได้ยินคำตอบที่แน่ชัดในบางสิ่งบางอย่างกับคนบางคนที่คุณรู้จักดีแต่ไม่สู้จะเข้าใจเค้าดีบ้างไหม?

~บางอย่างที่ดูเหมือนจะคลุมเครือในความรู้สึก กับคำถามบางคำถามที่มันค้างคาอยู่ในใจ คำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไรกันนะ?

~  จริงๆแล้วบทความนี้เขียนและโพสไปแล้ว  แต่ตอนนี้อยากจะเอามาโพสถามอีกครั้งเพราะเชื่อว่าประชาชนคนไทยก็คงอึดอัดและเบื่อหน่ายในหน้าที่จอมปลอมของนักการเมืองหลายๆคน
    การประชุมสภาที่ผ่านๆมาหลายครั้งคงไม่ต้องมีคำถามว่าประชาชนจะรู้สึกต่อตัวของเหล่าท่านทั้งหลายอย่างไร  สำคัญที่สุดคือคำถามที่เกิดขึ้นในสมองของประชาชนคุณจะตอบให้เค้าได้เข้าใจอย่างไรมากกว่า???...

1 หน้าที่ของนักการเมืองคืออะไร

2 คำว่าคนของประชาชนในความหมายที่คุณรู้จักหมายถึงสิ่งใดและมีอยู่จริงไหม

3 คุณเคยสัมผัสได้ถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชนบ้างหรือเปล่า

4 ความหวังใหม่หมายถึงการเริ่มต้นครั้งใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนั้นใช่หรือไม่

5 คุณตั้งความหวังกับพระเจ้าให้เข้าใจคุณแบบไหนในขณะที่คุณสาบานตนกับท่านเมื่อคุณได้รับตำแหน่ง

6.คุณเข้าใจในเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ต่อไปกับบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องยกเอาไว้ไหม

6.1.คุณลึกซึ้งกับความหมายเหล่านี้แค่ไหน รู้ไหมว่าเค้าหมายถึงอะไรและคุณให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า

7 กรุณานิยามความหมายของคำว่าสัจจะ และ จริยธรรมในกระบวนทัศน์ของคุณมาให้ฟังสัก1วรรค คัดเอาประโยคเด็ดๆเท่าที่สมองของคุณพอจะฝืนใจได้และกรุณาอธิบายให้ฟังเข้าใจด้วย

8 การจัดระเบียบสังคมของคุณหมายถึงคนรวยอยู่บนอาคารคนจนอยู่ตามสวนสาธารณะใช่หรือไม่

9 ทำไมเวลาที่คุณถกกันในสภาถึงดูยุ่งเหยิงไร้ระเบียบอย่างนั้นเคยคิดอยากจะปรับระบบการเถียงให้สามารถตอบโต้กันได้ถึงใจกว่านี้ไหม

10 คุณเห็นคนจรจัดที่นอนอยู่ข้างถนนแล้วรู้สึกอย่างไรและถ้าคุณกำลังหาเสียงจะเข้าไปกราบให้เค้าไปนอนให้เป็นที่เป็นทางไหม

11 ใครปลูกฝังธรรมเนียมการไหว้ทุกอย่างที่ขวางหน้าให้กับนักการเมืองที่กำลังหาเสียง

11.1 คุณรู้สึกขัดเขินบ้างไหมเวลาที่ไหว้คนยาจกตัวสกปรก กรุณาระบายความรู้สึกในขณะนั้นให้ฟังอย่างจริงใจ

12 คุณเคยกลัวว่าสักวันหนึ่งคุณจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับความเย็นชาของคนในสังคมไหม

13 คุณคิดว่าการเนรเทศนักการเมืองออกนอกประเทศเป็นการกระทำที่โหดร้ายเกินไปหรือไม่

14 คุณเห็นนักการเมืองต่างชาติที่แขวนคอตายเมื่อถูกจับได้ว่าทุจริตแล้วรู้สึกชื่นชมไหม

15 คุณคิดว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นหลังกรุณาตอบออกจากความรู้สึกที่แท้จริง

16 คุณคิดอย่างไรกับการซื้อเสียงและสิ่งนี้มีความสำคัญขนาดไหนกับอาชีพนักการเมืองในจิตสำนึกของคุณ

17 การเตรียมการที่จะเข้ามาเป็นนักการเมืองให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมาเป็นอันดับแรกระหว่าง

อุดมการณ์ หน้าที่ นโยบาย กับ หาแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อเสียง

18 คุณเชื่อเรื่องการซื้อเสียงไหมว่ามีอยู่คู่กับนักการเมืองจริงๆ

19 คำพูดของนักการเมืองมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับไหนมีความชัดเจนในถ้อยคำมากน้อยเพียงใด

20 คุณใช้จิตสำนึกส่วนไหนประกาศนโยบายของคุณ ระหว่าง ส่วนจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก หรือไม่ได้นึกเองเลย แค่คัดเอาคำที่น่าเชื่อถือในพจนานุกรมมาเรียงให้ดูสวยงาม

21 นโยบาย30บาทรักษาทุกโรคแก้ปัญหาความเจ็บปวดได้ไหมหรือว่าเป็นนโยบายที่เปิดช่องทางให้โรงพยาบาลที่รักษาแพงกว่ามีคนไข้มากขึ้น

22 คุณคิดว่าควรมีสถาบันกวดวิชาหรือว่าโรงเรียนดัดสันดานนักการเมืองไหมเผื่อว่าเราจะได้มีนักการเมืองที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

23 คุณคิดว่าความซื่อสัตย์จะเป็นแสงสว่างในความมืดส่องให้คนหลุดพ้นจากการหลอกลวงได้หรือไม่

24 คุณให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์มากแค่ไหนหรือว่าอยากให้มีอยู่แค่ในจิตสำนึกของคนโง่เท่านั้น

25 บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองได้เพราะมีประชากรที่ฉลาดส่วนการเมืองจะเจริญได้เพราะมีประชากรที่โง่ความเข้าใจอย่างนี้เป็นจริงใช่ไหม

26 เวลาที่พวกคุณเดินทางทำไมต้องมีรถนำขบวนเปิดเส้นทางทำไมคุณไม่รักษากฎจราจร

27 คุณคิดว่าการเดินทางในแต่ละครั้งของพวกคุณเป็นต้นเหตุทำให้โลกร้อนบ้างหรือเปล่า

28 คุณเข้าใจภาษาอังกฤษที่กำลังฮิตกันอยู่ในตอนนี้บ้างไหม ลองอ่านดูซิว่า Save the word คำนี้เค้ารณรงค์ทำอะไร (ถ้าคุณอ่านไม่ออกแสดงว่าคุณตกโทเฟล)

29 แรงดึงดูดที่ทำให้อยากเป็นนักการเมืองคือการจะได้เป็นผู้วิเศษถูกละเว้นทางกฎหมายใช่หรือไม่

30 ถ้าตอนนี้เราเปิดโอกาสให้คุณเปิดใจพูดความจริง คุณอยากจะบอกอะไรกับดิฉันบ้างไหม



..แต่ดิฉันคิดว่าความจริงในการกระทำของคุณ คุณสื่อมันออกมาได้ดีที่สุด คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาเลย เราคนไทยเข้าใจ



...จำเป็นต้องจบต้นฉบับไว้เพียงเท่านี้ก่อน เข้าใจว่าผู้เขียนวิจารณ์คงเกิดอาการปอดแหกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

!!ระวังเดี๋ยวมันจะมาไม่รู้ตัว

ป.ล ต้นฉบับไม่เกี่ยวข้องด้วยเหตุอันใดทุกประการกับเจ้าของบล็อกไม่ต้องฟ้องรัฐมนตรีไอที..อิอิ