วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โทมัส ฮอบส์ นักปรัชญาการเมือง ผู้เขียน Leviathan



โทมัส ฮอบส์


โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) (5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679)) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือ หนังสือชื่อ Leviathan

ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว

ถึงแม้ว่าทุกคนได้รู้จักโทมัส ฮอบส์จากงานเขียนกี่ยวกับปรัชญาการเมืองตะวันตกก็จริง แต่ที่จริงแล้วฮอบส์ได้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ไว้อีกหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต เทววิทยา จริยธรรม รวมทั้งด้านปรัชญาทั่วๆ ไปอีกหลายเรื่อง

และที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า รัฐศาสตร์ (political science) นอกจากนี้สิ่งที่ฮอบบส์เชื่อที่ว่า "มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติมีการร่วมมือกันก็โดยมุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว" ซึ่งข้อคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ในทฤษฎีของ ปรัชญามานุษยวิทยาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน


ชีวิตในวัยเยาว์และการศึกษาโทมัส ฮอบส์ เกิดที่วิลท์ไชร์ ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของพระราชาคณะแห่งชาร์ลตัน และ เวสต์พอร์ตซึ่งหนีออกจากประเทศอังกฤษ เนื่องจากการกลัวโทษแขวนคอ

และปล่อยลูก 3 คนทิ้งไว้ให้พี่ชายชื่อฟรานซิสดูแล ฮอบบส์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนโบสถ์ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้นตามลำดับ ฮอบส์เป็นนักเรียนดี

และได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่เฮิร์ทฟอร์ดคอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเมื่อ พ.ศ. 2146 ที่มหาวิทยาลัย ฮอบส์ได้เป็นครูกวดวิชาให้กับบุตรชายของวิลเลียม คาเวนดิช บารอนแห่งฮาร์ดวิกซึ่งกลายเป็นมิตรภาพกับครอบครัวนี้อย่างต่อเนื่องกันไปชั่วชีวิต

ฮอบบส์กลายเป็นคู่หูของวิลเลียมผู้เยาว์ ได้ร่วม "การท่องเที่ยวครั้งใหญ่" (en:Grand tour - ประเพณีของคนอังกฤษชั้นสูงวัยหนุ่มระหว่างประมาณ พ.ศ. 2200 - พ.ศ. 2360 เพื่อท่องยุโรปแผ่นดินใหญ่

เพื่อเรียนรู้ แสวงหาและสัมผัสกับปรัชญาและวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ที่รุ่งเรืองในที่นั้น) ฮอบบส์ได้สัมผัสกับวิทยาศาสตร์และวิธีการคิดเชิงวิฤติของยุโรปซึ่งแตกต่างกับ "ปรัชญาเชิงอัสสมาจารย์" (scholastic philosophy) ที่ได้เขาเคยเรียนที่ออกซ์ฟอร์ด ซึ่งมุ่งเรียนอย่างจริงจังทางกรีกคลาสสิกและละติน

แม้ว่าฮอบส์จะมีโอกาสได้คลุกคลีกับนักปรัชญามีชื่อเช่น เบน จอนสัน และ ฟรานซิส เบคอนมานานแต่ก็ไม่ได้สนใจด้านปรัชญาจนกระทั่งหลังจาก พ.ศ. 2172 คาเวนดิชซึ่งได้เลื่อนเป็นเอร์ลแห่งเดวอนไชร์

ผู้เป็นนายจ้างฮอบส์ได้เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2171 และภริยาหม้ายของคาเวนดิชได้บอกเลิกจ้างเขา แต่ในเวลาต่อมาฮอบบส์ก็ได้งานใหม่เป็นครูกวดวิชา ให้กับลูกของเซอร์เกอร์วาส คลิฟตัน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในปารีสและจบลงเมื่อ พ.ศ. 2174

เนื่องจากการได้พบกับครอบครัวคาเวนดิชอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นงานกวดวิชาให้กับลูกชายของนักเรียนเก่า ในช่วงต่อมาอีก 7 ปี ฮอบส์ได้เพิ่มพูนความรู้ด้านปรัชญาไปพร้อมกับงานกวดวิชา

ซึ่งทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากอภิปรายเกี่ยวปรัชญามากขึ้น และได้กลายเป็นนักอภิปรายปรัชญาหลักที่เป็น "ขาประจำ" ในยุโรป และจากปี พ.ศ. 2180 เป็นต้นมา ฮอบส์ได้ถือว่าตนเองเป็นนักปรัชญาและผู้รอบรู้


ที่ปารีส

ที่ปารีสฮอบส์ได้ศึกษาลัทธิปรัชญาในหลายๆ ด้านและได้ทดลองเข้าถึงปัญหาด้วยแนวทางฟิสิกส์ ได้พยายามไปถึงการวางระบบความคิดที่ละเอียดบรรจงขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นงานที่ฮอบบ์ได้อุทิศชีวิตให้

ฮอบส์ได้ทำศาสตรนิพนธ์หลายเรื่อง เช่นเกี่ยวกับลัทธิที่เป็นระบบเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพสามารถอธิบายอาการเคลื่อนไหวได้อย่างไร

ฮอบบ์ได้แยกเอา มนุษย์ ออกจากอาณาจักรของธรรมชาติและพืชพรรณ ในอีกศาสนตรนิพนธ์หนึ่ง ฮอบบ์ได้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเฉพาะบางอย่างของร่างกาย เนื่องมาจากผลของปรากฏการณ์ผัสสาการ (ศัพท์ปรัชญา = sensation) ความรู้ วิภาพ (ความชอบ = affection) และกัมมภาวะ (ความดูดดื่ม, กิเลส = passion)

และสุดท้ายในศาสตรนิพนธ์อันลือชื่อ ฮอบบ์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกผลักดันเข้าสังคมได้อย่างไร และตั้งประเด็นว่าจะต้องออกกฎระเบียบใช้บังคับหากไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องตกสู่

"ความเหี้ยมโหดและความทุกข์ระทม" ทำให้ฮอบบ์เสนอการรวมปรากฏการณ์ที่ว่าแยกกันของ ร่างกาย" มนุษย์และ รัฐ เข้าเป็นหนึ่งเดียว

โทมัส ฮอบบ์กลับบ้านเมื่อ พ.ศ. 2180 ในขณะที่อังกฤษกำลังเกิดสงครามกลางเมืองสู้กันระหว่างบิชอป ซึ่งมีผลกระทบต่องานศึกษาค้นคว้าทางปรัชญา แต่ฮอบส์ก็สามารถเขียนศาสตรนิพนธ์เรื่อง "Human Nature" และ "De Corpore Politico" แล้วเสร็จและตีพิมพ์ร่วมกันภายหลังใน 10 ปีต่อมาในชื่อ "The Element Of Law"

ในปี พ.ศ. 2183 ฮอบส์ได้หนีกลับไปฝั่งเศสอีกครั้งด้วยรู้ว่าการเผยแพร่ศาสตรนิพนธ์ที่เขาเขียนขึ้นกำลังให้ร้ายแก่ตัวเอง คราวนี้ฮอบส์ไม่ได้กลับบ้านอีกเป็นเวลา 11 ปี

ฮอบส์ได้เขียนหนังสืออื่นๆ อีกหลายเล่มเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง เขาเกิดในยุคเดียวกับ เดส์การตส์ และเขียนบทวิจารณ์ตอบบทหนึ่งของหนังสือ "การครุ่นคิด" ของเดส์การตส์ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2184

งานเขียนหลายๆ เรื่องของฮอบส์ได้ส่งให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้น ในวงวิชาการด้านปรัชญา


เลอไวอะทัน Frontispiece of Leviathan"เลอไวอะทัน" (Leviathan) (พ.ศ. 2194) เป็นศาสตรนิพนธ์ชิ้นเอกด้านปรัชญาทางการเมืองที่ฮอบส์ใช้เผยแพร่ "ลัทธิพื้นฐานของสังคมกับรัฐบาลที่ชอบธรรม" ซึ่งเนื้อหาของหนังสือนี้ได้กลายเป็นต้นตำหรับ ของงานวิชาการทางปรัชญาด้าน "สัญญาประชาคม"

และในหนังสือ "สภาวะตามธรรมชาติของมวลมนุษย์" ในเวลาต่อมา ซึ่งว่าในขณะที่คนๆ หนึ่งที่อาจแข็งแรงหรือฉลาดกว่าใครๆ แต่เมื่อกำลังจะถูกฆ่าให้ตาย ในฐานะมนุษย์ตามสภาวะตามธรรมชาติ

เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะต่อสู้ทุกวิถีทาง ฮอบส์ถือว่าการต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากสิ่งใดก็ตามในโลกเป็นสิทธิ์และความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์

เลอไวอะทันเป็นงานที่ฮอบส์เขียนขึ้น ในระหว่างความยากลำบากของสงครามกลางเมืองของอังกฤษ ที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงที่มีการเรียกร้องให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ลงรอยที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง

มีการยอมให้ใช้อำนาจมากไปบ้างเพื่อรักษาสันติภาพ ด้วยสภาวะความยุ่งเหยิงทางการเมืองขณะนั้นทำให้ทฤษฎี ทางการเมืองของฮอบส์ที่ว่า องค์อธิปัตย์ หรือ อำนาจอธิปไตยควรมีอำนาจในการควบคุมพลเรือน ทหาร ตุลาการ และศาสนาได้รับการยอมรับ

ฮอบส์แสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าองค์อธิปัตย์จะต้องมีอำนาจครอบคลุมไปถึงศรัทธาและลัทธิ และว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นการนำไปสู่ความแตกแยกในที่สุด

ฮอบบีเซียน (Hobbesian) คำว่า ฮอบบีเซียน ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่บางครั้งหมายถึงสถานการณ์ของการแข่งขันที่ไม่มีการควบคุม มีแต่ความเห็นแก่ตัวและไร้อารยธรรม เป็นความหมายที่นิ่งแล้ว แต่ก็เพี้ยนไม่ตรงความเป็นจริงด้วยเหตุผล 2 ประการคือ

ประการแรกเลอไวอะทันได้พรรณาสถานการณ์นี้ไว้จริงแต่เพื่อเพียงใช้สำหรับการวิจารณ์ อีกประการหนึ่งฮอบส์และเป็นหนอนหนังสือเป็นกระดากที่จะชี้แจง อีกความหมายหนึ่งที่ใช้เกือบทันทีหลังการตีพิมพ์คือ "อำนาจคือธรรม"

ชีวิตบั้นปลายฮอบส์ได้พยายามตีพิมพ์ผลงานด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยดีนักไปพร้อมๆ กับงานด้านปรัชญา ในช่วงของ ยุคปฏิสังขรณ์ (The Restoration) (การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ ราชวงศ์สกอตแลนด์ และราชวงศ์ไอร์ริชโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 2 กษัตริย์หนุ่มของอังกฤษ)

ชื่อเสียงของฮอบส์ได้โด่งดังขึ้นจนพระเจ้าชาร์ล ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฮอบส์เมื่อครั้งยังเป็นปรินซ์ออฟเวลล์ลี้ภัยอยู่ในปารีสจำได้ จึงมีรับสั่งให้ฮอบส์เข้ารับราชการในราชสำนักและพระราชทานบำนาญแก่ฮอบส์ปีละ 100 ปอนด์

พระเจ้าชาร์ลต้องช่วยปกป้องฮอบส์จากการถูกกล่าวหาว่าเขียนหนังสือหมิ่นศาสนาและไม่ยอมรับว่าพระเจ้ามีตัวตนจากซึ่งเกิดจากความพยายามของรัฐสภาที่จะออกกฎหมายเพื่อเอาผิดฮอบส์ แม้จะเอาผิดฮอบส์ไม่ได้ แต่ก็มีผลทำให้ฮอบส์ไม่กล้าตีพิมพ์งานของเขาในอังกฤษอีก

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2222 ฮอบส์ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ตามด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ฮอบส์เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมปีนั้น ด้วยวัย 91 ปี ศพได้รับการฝังที่สนามของโบสถ์อัลท์ฮักนาล ในเดวอนไชร์ ประเทศอังกฤษ

โทมัส ฮอบส์ มีอายุยืนยาวมาก มีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระเพทราชาในสมัยอยุธยาซึ่งในช่วงนั้น มีกษัตริย์อยุธยาครองราชย์รวมแล้วถึง 12 รัชกาล


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

                                                                                                         



                                                                                                                                      ...วัคซีน...

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

~คนในฝัน~






มีใครคนหนึ่งออกเดินทางตามหาบางอย่าง

มีใครคนหนึ่งเฝ้าแต่สงสัยว่าอะไรที่อยู่ในฝัน

จึงค้นหาเพื่อได้พบ เพื่อได้คนที่พูดคุย...เพื่อได้ค้นบางสิ่งที่อยู่ในฝัน

ค้นหาเพื่อนคนนั้นคนแล้วคนเล่า....แล้วก็ไม่เจอ

ค้นหาความสำเร็จอย่างนั้น ที่ฝันเอาไว้ “อยากมี”แล้วก็หายไป

คนคนหนึ่งเขียนบางอย่างมากมายไว้ในฝัน

แล้วเฝ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการดั่งในฝัน

หวังไว้ในฝัน หวังไว้สักวันต้องคว้ามัน

แต่ฝันก็แค่ในฝัน....สุดแท้ จริงแท้ ก็แค่ฝัน ฝัน

ทุกอย่างไม่เคยเหมือนฝัน...แล้วฝันก็สลาย แล้วฝันก็หายไป

ฝันเอ๋ยฝัน...ฝันที่เป็นจริง...มันจริงอยู่แค่ในฝัน

ความจริงช่างยากเย็นไม่เคยเป็น.."เหมือนอย่างฝัน"..
....
....
..ฝันเอ๋ยฝัน..

โลกแห่งฝัน ทุกอย่างช่างสวยงาม  เหมือนความฝัน
“โลกแห่งความจริง..ไม่เคยนึกไม่เคยฝัน..ไม่เคยได้สร้างสรรค์
"แต่มันก็เป็นจริง"
...
"ตื่นขึ้นมาลืมตาในความจริง..ทุกสิ่งไม่เหมือนเดิม"

ไม่มีสิ่งที่เป็นอยู่อย่างตั้งใจ...มีเพียงมนุษย์ธรรมด๊า..ธรรมดา

 กับภาพลวงตา กับความว้าเหว่
กับความฝัน  กับอัตตา กับความสงสัย

ไม่มีความสุขที่พอดี...ไม่มีสิ่งต่างๆที่หวังให้พึงมี
มีเพียงสิ่งที่ขาดหาย..คงอยู่เสมอไป....นั่นคือ...“สิ่งที่แท้จริง”


“หรือความฝันมีไว้ให้กับเวลาชั่วชีวิต....ไม่ใช่เป็นเพียงบางสิ่งที่ชั่วคราว”

??????


                                                                                                ...วัคซีน...

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

~ Greatest Love Of All~





สิ่งที่ฉันเป็น..ตอกย้ำซ้ำเตือนกับฉันว่านี่..คือ..“สิ่งที่ฉันเป็น
การรักษาตัวรอด...และศักดิ์ศรี
...
มีหลายครั้งที่ฉันตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย
ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันเป็น??
คำตอบที่ได้ความหมายมันก็ยังสากล ฉันยังเป็นในสิ่งที่ฉันเป็น
...สิ่งที่คุณเป็นไม่ใช่ฉันคุณจึงไม่เข้าใจ...
ฉันเคยแสวงหาฮีโร่ของฉัน..เพราะฉันเคยเชื่อว่าั่นั่นคือความสวยงาม
เชื่อว่านั่นจะเป็นกระจกให้ฉันส่องเห็นโลกที่ตาฉันมองออกไปไม่ถึง
...

แต่หาได้เป็นอย่างฝันเลย..มันหาใช่สิ่งงดงามที่น่าชื่นชมไม่
ฮีโร่เป็นแค่ภาพลวงตาเป็นเพียงมายาคติ ที่ทุกคนเอาไว้สร้างภาพฝันพร่ำเพ้อ
...
ฮีโร่เป็นสิ่งผิดพลาดของความเชื่อที่แสนงมงาย
เป็นความต้องการหาที่พึ่งพิงของความกลัว
ที่ต้องการให้ใครซักคนมาชื่นชม ต่อเติมความมั่นใจ

...
...

..ฮีโร่ไม่เคยมีตัวตน..

ฮีโร่คนที่จะทำให้ฉันมีใจเปิดกว้างแผ่ข้ามไปทุกเขตแดน

..ฉันยังไม่เคยเจอ..
...

ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงเป็นคนโดดเดี่ยว
ฉันยังคงเป็นคนที่มีแต่คนบอกว่าไม่เข้าใจ
ยังคงเป็นคนที่ไม่มีใครให้ฉันได้เดินตามเงา
...

และเมื่อมันไม่มีเงา ไม่มีแสงรุ้งทอดผ่าน
ฉันจึงเลือกที่จะให้ความมั่นใจอยู่กับตัวฉัน
เลือกที่จะสร้างฝันและเป็นเงาให้กับตัวฉันเอง

...เพราะฉะนั้น...

วันนี้..ไม่ว่าฉันจะตกต่ำ..พ่ายแพ้..หรือล้ำเลิศ
มันจะไม่ใช่ด้วยเหตุผลของเงา..ของใครคนใด

...
แต่มันคือความภาคภูมิใจ..

ที่อย่างน้อยการทำผิดกับเหตุผลที่ฉันเชื่อ ก็ทำให้ฉันได้ซึมซาบอย่างมีความหวัง

ว่ามันยังไม่สายที่ฉันจะต้องปรับปรุงตัว

และไม่ว่าความล้มเหลวผิดหวังจะเอาอะไรไปจากชีวิตฉันก็ตาม
แต่จะไม่มีอะไรเอาศักดิ์ศรีของฉันไปได้
...
มันไม่ง่ายหรอกนะกับโลกใบนี้ ที่เงาสะท้อนจะทำให้เราหยั่งลึกรู้ถึงจิตใจของคนอื่น
แต่เรารับรู้เสมอว่า เราหยั่งรู้จิตใจตัวเองได้ หากเราเต็มใจพร้อมที่จะมองลงไป
...
...
เพราะความเชื่อที่ยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้นได้เสมอกับชีวิตฉันและชีวิตคุณ
มันขึ้นอยู่กับว่าฉันและคุณรักตัวเองมากแค่ไหน
...

~ความรักที่ยิ่งใหญ่แสนจะง่ายที่จะได้มาแค่เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง~

นี่แหละความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งอื่นใดในโลกนี้

...The Greatest Love Of On...


                                                                    
                                                                      ...วัคซีน...