วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

~ภาพนิทาน~





...ก้อนเมฆที่เราเห็นเป็นเช่นเดิมทุกวันตอนนี้ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากเดิม ผู้คนหยุดมองก้อนเมฆเหล่านั้นบนท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปทั้งๆที่เป็นแบบนั้น  มันเหมือนมีสิ่งลึกลับที่รู้สึกราวกับว่าได้หลุดเข้าไปยังอีกโลกหนึ่งความรู้สึกแปลกที่ไม่สามารถบรรยายได้เป็นเหมือนภาพนิทานของความฝัน...
.....
.....
ความตายที่เป็นดังเข็มดาบ เหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาที่หัวใจเธอ
 ความรู้สึกลึกๆ..พริบตาที่ถูกทำร้ายจากการถูกแทงหัวใจ
กระแสความตายที่ไหลทะลักและความรู้สึกมีชีวิตที่พวยพุ่งออกมา
ตลอดเวลาที่เธอคิดว่าเธอไม่หลงเหลือสิ่งใด
แต่เธอยังมีสิ่งเรียบง่ายแสนสำคัญหลงเหลืออยู่
....
....
 เธอผู้จำไม่ได้ว่าอยู่กับตัวเองมานานเท่านไหร่และไม่รู้ว่าต้องอยู่กับตัวเองไปนานแค่ไหน
รู้แต่เพียงเธอได้เฝ้ามองทิวทัศน์ที่อยู่ข้างนอกนั้นทุกวันเป็นเวลานาน 
วันแล้ววันเล่าเฝ้าดูอยู่อย่างนั้นผ่านบานประตูของหัวใจ
ความเงียบเหงาเดียวดายถึงว่าเธอจะเกลียดมันสักเพียงไหนแต่นั่นก็เป็นสิ่งเด่วที่เธอมี
และแม้ทุกคืนวันจะมองไม่เห็นใครแต่เธอก็ยังคงอยู่
 เธอให้จิตของเธออาศัยอยู่บนฟ้าเพราะถ้าวิญญาณคือตัวเธอ
เธอก็คงถูกความเจ็บปวดฆ่าให้ตายไปแล้ว ตัวเธอบนท้องฟ้าจึงไม่มี
เธอทิ้งตัวไว้บนโลกนี้ เธอมีสองบุคลิกในเธอ เธอควบคุมสองร่างด้วยจิตใจเดียว
ท่ามกลางอ้อมกอดของสายลมอ่อนๆ ใจของเธอที่รำลึกความหลังได้ขาดสะบั้นลงไม่มีชิ้นดี
 เธอผู้ยืนโดดเดี่ยวอยู่บนยอดเขา เฝ้ามองฤดูกาลที่ผ่านไป ณ.จุดสิ้นสุดของท้องฟ้าสีคราม
เธอมองไม่เห็นอะไร เธอต้องการความกล้า
 เธอเฝ้าสวดภาวนาอยู่แผ่วเบาให้กับวันเวลาที่ไร้กังวล 
แม้ทุกอย่างจะไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้
แต่ดอกไม้ไฟแห่งความทรงจำในต้นฤดูเหน็บหนาวก็ยังไม่ยอมจางหายไป
...แม้กระทั่งตอนนี้เองก็ตาม
 แสงอาทิตย์ร้อนๆที่เข้าตาทำให้เธอจำฤดูครั้งนั้นได้โดยที่ไม่รู้ถึงความหมายของความเจ็บปวด
รอยยิ้มแห่งความเจ็บปวดของตอนนี้ทำให้เธอยินดีเสมอ
เธอยังคงเฝ้าหวังในความปราถนาและความฝันเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากที่ที่ไกลออกไป
 ไม่ว่าจะเลือนลางเพียงใดเธอยังคงเฝ้ามองและเงี่ยหูคอยฟังเสียงนั้นอยู่เสมอ
ความปราถนาที่แน่วแน่ของเธอวิ่งไปตามเส้นขอบฟ้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด
น้ำตาที่เคยเอ่อล้นออกมา สักวันคงเป็นราคาของความภาคภูมิใจ
 ทุกครั้งที่มีความสุขเธอก็อยากหยุดเวลาอยากให้ทุกคนจับมือกันไว้อยู่แบบนี้
...แต่เวลาก็เดินผ่านไปเรื่อยๆ
มีเพียงภาพฝันเพียงหนึ่งเดียวที่วาดไว้บนฟ้าว่าสักวันเธอจะเป็นดาว
เธอจะส่องสว่างเวลากลางคืนท่ามกลางความมืดมนท่ามกลางดาวหมู่อื่นหมื่นพัน
 เธอสวดภาวนาอย่างเงียบงันด้วยความรู้สีกอันบริสุทธิและขณะนี้แสงนั้นได้มอบชีวิตแก่เธอแล้ว
เธอจะคงอยู่เป็นดาวของเธอแบบนี้ด้วยใจของเธอ
ส่วนที่ปลิแตกออกมาจากความเจ็บปวด เป็นจุดเริ่มต้นของแสงสว่าง
ความคิดของเธอดั่งละลอกคลื่นและหัวใจเธอเป็นดั่งหินผา
เธอรู้ว่าอะไรจะคอยเธออยู่ตรงหน้าในวันพรุ่งนี้
มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่จะได้พบเจอ เพราะช่วงชีวิตเธอนั้นขึ้นอยู่กับพลังของเธอ
ดังนั้นหากเธอจะเป็นดาวมวลของดาวจึงต้องเหมาะสมกับพลังงานของดาว
และความหนาแน่นของดาวก็เกิดขึ้นจากจำนวนนั้น
 เวลานั้นมันคงจะดีถ้าทุกคนชอบอาหารจานพิเศษที่ทำจากความรักของเธอ
 วิตตามินความรักจะมาพร้อมกับความอบอุ่น
ในวงแขนของความรักที่เธอจะอยู่ในนั้น ความรักจะตอบคำถามทุกอย่างที่เธออยากรู้
และคำตอบนั้นจะเป็นของคุณ
 บ่อยครั้งยามหลับที่เธอมักฝันถึงผีเสื้อและในความฝันเธอก็ไม่รู้ว่ากำลังมองดูมัน
...หรือว่าตัวเธอนั้นเองที่เป็นผีเสื้อ
 ผีเสื้อตัวนั้นบินไปบินมาอยู่ในความฝันอย่างแคล่วคล่องว่องไว
...แล้วก็มีแมลงปอตัวหนึ่งบินเข้ามา...
พยายามจะตามให้ทันผีเสื้อแต่ก็ไม่ไหวสุดท้ายก็หมดแรงตกลงสู่พื้น
 แมลงปอคงจะบินอยู่ได้นานกว่าถ้าวันนั้นมันกระพือปีกเพียงเพื่อให้ลอยตัวอยู่ได้
แต่แท้จริงแล้วแมลงปอตัวใดเล่าที่ได้รู้จักการบินแล้วจะยอมทนล่องลอยอยู่
เพราะฉะนั้นมันจึงเลือกบินไปไม่ยอมเพียงล่องลอย
คำว่าบินขึ้นกับร่วงหล่นอยู่คู่กันเสมอ แต่ยิ่งพยายามบินขึ้นเท่าไหร่ทำให้ลืมความจริงข้อนี้ไป
 ผลคือถึงแม้จะตายไปแล้วก็ยังจะบินขึ้นไปเหนือเมฆอีกไม่ยอมตกลงสู่พื้นดิน
...แต่กลับตกขึ้นไปบนฟ้า
ความกล้าเพียงชั่ววูบกับความกล้าที่ต้องคงไว้ตลอดไปแบบไหนยากกว่าต่อไปแมลงปอคงรู้ซินะ
 เมื่อไหร่กันนะที่เราจะรู้ว่าสิ่งลึกลับที่เรากลัวแท้จริงเป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
เมื่อสังหรณ์ไม่ดีไม่ยอมหายไปสังหรณ์นั้นก็มักจะนำเรื่องร้ายมาด้วยเสมอ
เธอที่เป็นผู้กระทำและถูกกระทำย่อมรู้ดีกว่าใครอื่นว่าความหลอกลวงเป็นเรื่องน่าเศร้าแค่ไหน
เธอผู้ที่ไร้บาดแผลกับเธอที่มีแต่บาดแผล เธอผู้ที่ดูเปราะบางเหมือนจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
 เธอผู้น่าเศร้าที่ไม่สามารถสื่อความในใจออกมาได้แม้แต่เพียงครั้งเดียว
แต่เธอก็ไม่เคยหนี การหนีมีอยู่สองแบบคือการหนีอย่างไม่มีจุดหมายกับมีจุดหมาย
อย่างแรกคือการลอยตัวแบบหลังเรียกว่าโผบิน
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางไหน
การตัดสินใจเลือกเส้นทางเพราะความรู้สึกผิดบาป..อย่างนั้นเป็นเรื่องผิด
เธอไม่เลือกเส้นทางเพราะบาปที่แบกรับอยู่
แต่เธอเลือกแบกรับบาปในเส้นทางที่เธอเลือกเดินแล้วนั่นเอง
ไม่เคยมีใครคนใดในอดีตที่สามารถบินได้ด้วยเพียงแค่กำลังของมนุษย์
 เธอจึงรู้ว่าควรเลือกเดินทางไหนเพราะว่าเธอบินไม่ได้ 
 แม้ทุกวันนี้ก็ได้เพียงแต่ล่องลอยอยู่เท่านั้น 
...วัคซีน...

ไม่มีความคิดเห็น: