วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~3

"หากหันหลังให้ดวงอาทิตย์ก็ได้เห็นแค่เงาตน.. แต่ถ้าเธอเงยหน้าให้ดวงจันทราเมื่อแสงส่องมาเธอก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร"

หลังจากผ่านช่างเวลามาได้พักนึง ฉันก็สลัดทิ้งความคิดอันแสนเจ็บปวด หมกมุ่น หวั่นไหวออกไปทั้งหมดแล้วลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่ คงไม่มีใครใช้ชีวิตอย่างกระสับส่ายซังกะตายไม่อยากทานอาหารไปจนตายหรอกนะคุณว่าไม๊? แต่ละช่วงชีวิตของทุกคนก็มักจะได้รับบาดแผลจากการต่อสู้มาด้วยกันทั้งนั้น และบาดแผลกับเรื่องราวนั้นเองที่จะบ่งบอกว่าเรารักชีวิตของเรามากมายเท่าไหร่ และมีใครคอยร่วมต่อสู้มากับเราด้วย

ความคิดมันตายไปแล้วทุกขณะ เมื่อเราจำมันได้มันก็คืออดีต มันคือความความจรงจำที่ก่อขึ้นจากเศษซากของอดีตนั่นเอง และหากความทรงจำเป็นภาพถ่าย มันก็คือภาพถ่ายของสมัยก่อนทั้งหมด เมื่อรู้ดังนี้แล้วชีวิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เราแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลยจริงๆเราเป็นคนมือสองของอดีต เราเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลทางการคิด การใช้ชีวิต และดำรงอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของอดีตทั้งหมด แล้วยังไงล่ะเราจะต้องกั้นห้องขังความคิดกันตัวเองออกจากการรบกวนของอดีตด้วยหรือเปล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าตลกขบขันจริงๆความคิดนี้ หรือเราจะต้องสะกดจิต ท่องจำคำว่า ปัจจุบัน ปัจจุบัน ปัจจุบัน โคคาโคล่า เอาไว้เพื่อเตือนตัวเอง ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

การพยายามหาความสงบให้ความคิดก็เหมือนกับการจินตนาการหาการทำงานของแบคทีเรียในช่องคลอดมันคือความจริงอันล่องหน คุณไม่มีทางรู้ว่ามันทำงานยังไงแต่มันมีผลบังคับให้คุณต้องปรับชีวิตตัวเองให้อยู่ในสภาวะแห่งสมดุลย์ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นคุณจะป่วย คุณเคยรู้เรื่องนี้ไม๊มันเป็นความจริงง่ายๆแต่ก็นั่นสิ ฉันอาจจะคิดเป็นอยู่คนเดียวก็ได้นะ ง่ายที่ไหน คิดได้ไงบ้าจะตาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า..บางครั้งในชีวิตเราก็ตรองไม่ตกว่าทำไมเราจะต้องทำตามความคิดของคนแปลกหน้า  จากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตมีเซ็ทจำกัด คุณอยากเป็นตัวเอง หรืออยากเป็นผลพลอยได้จากความสำเร็จของบุคคลอื่นแล้วทำตัวให้สำเร็จความคิดเพื่อยืนยันความไคร่อยากเป็น อยากมี เพื่อสร้างอนุเสาวรีทางความคิดไว้ให้เขาต่อไปเรื่อยๆไม่มีจบ ไม่มีอะไรใหม่ น่าเบื่อจริงๆก็คือตอนนี้แหละชีวิตคุณรู้ไม๊?

 ถ้าอดีตเป็นแพทย์ที่ช่วยวินิจฉัยโรคเค้าก็คงใช้ความเจ็บปวดเป็นยารักษาเรา  เราก็เป็นมนุษย์สเตอรอยด์เสพติดการบันเทาเพียงผิวเผิน เดี๋ยวพอไม่นานโรคเก่าก็กลับมาใหม่ การวินิจฉัยชีวิตแบบทื่อๆอยู่บนโลกที่เราชี้เฉพาะเจาะจงอะไรให้ไม่ได้ เดี๋ยว ฟ้าก็ผ่า  เดี๋ยวแผ่นดินก็ไหว เดี๋ยวภูเขาระเบิด เดี่ยวเกิดน้ำป่า ตามมาด้วยเชื้ออีโบร่า บลาๆๆๆ ทั้งหมดนี้ไม่อาจระงับได้ด้วยการสงบ หรือการเพ่งจิตจนเกินพอดี การสะกดจิตให้สงบไม่สามารถปกปิดแก้ไขกระแสวิตกที่เกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยวินาทีได้ เหมือนเวลาคุณกำลังจมน้ำคุณยังจะมีสติไม๊ คุณยังจะมีความคิดหรือคำพูดอะไรสักอย่างเหมือนคนธรรมดาที่เขาไม่ได้ตกอยู่ในน้ำและกำลังใกล้จะตายเหมือนคุณหรือเปล่า  ...โอ้ตื่นเต้นจังเรยที่กำลังจะได้ไปทัวร์นรกอเวจี “Whatever will be will be”สิ้นสุดความคิดสุดท้ายแล้วจมดิ่งสู่ความตายอย่างสงบ..Oh boy!!!!

เราไม่ใช่กระต่ายน้อยในอ้อมกอดของพระจันทร์วันเพ็ญ  เราไม่อาจพร่ำบอกตัวเองให้ปิดกั้นความคิดอยู่แต่ ณ.ขณะนั้นในวงล้อมของเส้นวงกลมที่เมื่อผ่าเส้นผ่านศูนย์กลางแล้วมันอาจไม่ไช่180องศาอย่างที่เราจินตนาการและมันอาจแคบเกินไปสำหรับความคิดของคนหนึ่งคน ต่อให้เราเรียนเรียนรู้มาจากประสบการณ์ตรงแล้วก็ไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวดและความผิดพลาดโดยธรรมชาติได้ เราต้องกล้าระเบิดตัวออกมาให้ทุกคนรอบตัวได้รู้ถึงความไม่โสภาของผิวดวงจันทร์แล้วเดินจากพวกหัวเก่าไปให้ไกลปล่อยทิ้งพวกเค้าไว้ให้อยู่กับเศษซากอดีตฝังในของความคิด

หน้าที่ของฉันคือการเรียนรู้ศาสตร์ประกอบการมีชีวิตขั้นสูง บางทีมันคงสูงมากจนฉันอธิบายให้คนเข้าใจและรู้จักไม่ได้ The unknown”คุณเข้าใจไม๊แล้วมันสามารถเข้าถึงด้วยตัวอักษรใด หากคุณรู้ส่งเมล์บอกฉัน บางทีเราอาจจะมีเรื่องให้ร่วมตั้งวงเสวนาพูดคุยกันยาวๆ ฮ่า.. เรามาร่วมซาบซึ้งกับความไม่แน่นอนกัน

  ฉันไม่เคยมองเห็นตัวตนใครชัดเจนนักท่ามกลางถ้อยคำทั้งหลายที่อุทิศให้แก่กัน  ฉันอาจจะเป็นคนโง่มืออาชีพก็ได้ที่ไม่ค่อยเข้าใจและยอมรับการสั่งสอนของคนหรือครู เว้นแต่เรื่องที่ฉันโง่อย่างหาญกล้าก็คือด่าครูแล้ว นอกนั้นฉันก็ดูจะไม่มีอะไรที่เคยทำเลยกับการมีปฏิสัมพันธ์กับความรู้ ฉันเดาว่าความอวดดีของฉันทำให้ความโง่มีที่ยืนทำให้คนเป็นตัวของตัวเอง แล้วฉันก็คิดว่าความรู้ก็เป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่ทำลายเซลในสมองทำลายเซลความเป็นคนทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่วยด้วยการไม่รู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ จนตายไปด้วยการรักษาที่ต้องฆ่าเซลต้นกำเนิดของตัวเอง เราทุกคนรู้จักตัวเองมากแค่ไหน-เราทุกคนเศร้าอย่างหนักขนาดไหนกับการจากไปของตัวตนในตัวเอง....โปรดติดตามตอนต่อไป
...วัคซีน...


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~2


           ก่อนจะหาเพื่อนใหม่ก็ต้องเรียนรู้การผูกมิตรกับคนอื่น แต่ฉันไม่มีเพื่อนเลยสักคน   นั่นก็เป็นเพราะผลกระทบจากความถังแตกของตัวเอง ความถังแตกส่งผลให้เกิดโรคทุกข์ทนที่ติดเชื้อมาจากความตกอับจนน่าอับอายโรคนี้นอกจากจะทำให้ฉันเป็นคนต่อต้านสังคมแล้วมันยังทำให้เพื่อนฝูงญาติมิตรรังเกียจขึ้นมาโดยฉับพลันด้วย  คล้ายดังว่าฉันอาจเป็นตัวอันตรายวินาทีนี้ควรอยู่ห่างๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเค้ากลัวการติดต่อของโรคหรือเปล่าเพราะมันก็ไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ทางลมหายใจสักหน่อย หรือว่าเค้าอาจกลัวฉันจะติดต่อขอยืมเงินกันก็เป็นได้ ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาของชีวิตที่โบราณเค้าบอกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซัดนัยทางปรัชญาเรียกว่าการปรากฏซ้ำของความซวย ซึ่งก็คือเหตุการณ์จากสองสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน In the same time เวลานี้นี่เองที่ความเจ็บใจเจ็บปวดเดินทางมาเยือนเกือบทุกลมหายใจ  ใครจะรู้มาก่อนว่ามันจะจัดหนักเป็นมาราธอนเลยทีเดียว

            ไม่เป็นไรถึงจะเจ็บปวดเราก็ควรจะมีชีวิตต่อมิใช่เหรอ ฉันบอกกับตัวเอง และแล้วก็หันหน้าเข้าหา.......ฮ่าๆๆไม่ใช่สัจธรรมหรอกโลกไซเบอร์อย่างเต็มตัวต่างหาก ฉันเริ่มเขียนและเกรียนเพื่อระบาย ตัวหนังสือกับตัวฉันสื่อสารถึงกันผ่านการถอนหายใจและมีสายใยแก้วความเร็วระดับปานกลางประมาณ3.0กิ๊กกะไบค์รองรับความอัตคัดอัดอั้น  ฉันมีผู้สนับสนุนความเศร้าความน่าเบื่อด้วยนะ เมื่อฉันเข้าไปโลดแล่นอยู่ในเว็ปไซค์หนึ่งอยู่หลายสัปดาห์จากนั้นเราก็จะนัดพบกันทุกวันไม่นัดหมายเวลา ฉันเริ่มเขียนบล็อกระบายความเป็นตัวเอง เขียนสิ่งที่รู้สึก เขียนสิ่งที่เจอ เขียนเรื่องโง่ๆที่ทะเลาะกับคนในอวกาศ บ้าไปแล้ว
 
แต่คุณรู้ไม๊ในความบ้า ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ฉันเริ่มเจอผู้คนในโลกที่เสกขึ้นมาจากอากาศธาศ ฉันจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยไม่รอคำว่าโชคชะตาดีมาเคาะประตูหน้าบ้าน มีอย่างเดียวในโลกนี้ที่ฉันไม่ศรัทธาก็คือการรอ เพราะฉันคิดว่าการรอมันน่าจะเป็นกิจกรรมเฉพาะที่สงวนไว้ให้กับผู้ที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตมากกว่า แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วมันเป็นกิจกรรมที่โง่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
 
ก็ไม่รู้สินะฉันคิดว่าคนทุกคนสามารถแสดงความรู้สึกและความสามารถได้เท่าแค่ที่เรามีอยู่ และฉันก็ไม่เรียกสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยมานะและความพยายาม ว่าเป็นเรื่องของ"โชคชะตา"หรอกเพราะถ้าหากฉันปล่อยให้ความกลัวของฉันกลายเป็นแสงแรกที่ลุกโชติช่วงซะแล้วล่ะก็ความสัมพันธ์ของฉันกับความกลัวก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้นและสุดท้ายมันก็คงครอบงำฉันไปตลอดกาล  คุณคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่าถ้าหากโชคดีหรือโชคร้ายบนโลกนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา โชคชะตาเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน  ฉันไม่ปล่อยให้ความโชคร้ายมาตีตั๋วเดินทางเที่ยวเดียวอันไร้เที่ยวกลับแน่ เพราะฉันไม่อยากให้โชคดีของฉันถูกปิดตายลง 

 'แต่รถไฟขบวนสุดท้ายของเที่ยวนี้จะวิ่งไปไหนต่อไปล่ะ  โปรดติดตามตอนต่อไปนะ'

 

...วัคซีน...
 

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~ 1

ช่วงเวลาแห่งความล้มเหลว5ปีที่ผ่านมาของขีวิต  ฉันใช้ขีวิตอยู่แต่ในบ้านใช้เวลาอยู่คนเดียวไม่พบปะผู้คนไม่ยอมพูดจากับใคร  จนทุกคนลงความเห็นว่าฉันเป็นบ้า เป็นโรคซึมเศร้า เป็นคนอกหักเป็นคนแปลกมีพิรุธ เป็นคนขายยา ติดยา หรืออะไรก็แล้วแต่ต่างๆนาๆในกระบวนการคิดของบุคคลอื่นซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดออกมาได้ ฉันใข้เวลาอยู่ในบ้านหลังนั้นที่ผู้คนสงสัย ใช้เวลาอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำๆวนไปเวียนมา ทำสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้เพราะมันอยู่ในความคิด  ฉันอุทิศเวลาที่เหลือเฟือทางกายภาพซึ่งเป็นเวลาอันไร้ค่าทางเศรษฐกิจของฉันให้กับการคิดเสียเกือบทั้งหมด
                มีบ้างบางเวลาที่ฉันปลีกตัวออกไปซุกซนอยู่ในโลกออนไลน์ ตามเว็ปไซด์ต่างๆหรืออะไรก็ตามที่ใข้เพียงแต่จินตนาการในการเข้าถึงชีวิตของฉันและชีวิตอื่นๆบนโลกไซเบอร์ใบนั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้มักจะสั่งสมอารมณ์การอยู่คนเดียวของฉันให้ยิ่งเพิ่มพูลมากขึ้นทุกวัน แต่ในความเป็นจริงใครจะรู้ว่าอารมณ์ซึมเศร้าของฉันมิใช่ความบ้า แต่มันคือผลข้างเคียงของโรคต่อต้านสังคมมากกว่า เมื่อเกิดสภาวะผิดพลาดซ้ำๆกับชีวิตฉันจึงเลือกที่จะงดและหยุดการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมลงโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าความเหงา เศร้า อยากตายในบางครั้ง มันก็เกิดจากผลข้างเคียงแห่งอารมณ์ผิดหวังแทบทั้งนั้นเมื่อเวลาที่ชีวิตได้จ่มดิ่งอยู่ในอารมณ์โดดเดียวอย่างรุนแรง
            และแม้การลงโทษตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จด้วยสภาวะกดดันตัวเองจะทำให้ฉันเป็นบุคคลที่ได้ชื่อทางสังคมว่า ป่วย บ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนอันแท้จริงของฉันนั้นหายไป ถ้าเป็นคุณล่ะ คุณจะเลือกทำตัวเองให้ บ้า ป่วย หรือเหลวแหลกเพื่อสนับสนุนกลุ่มความคิดของบุคคลอื่นไหมล่ะ ชีวิตฉันก็ตลกขบขันมากแล้วตอนนี้ฉันจึงไม่เสพอารมร์นั้น  แน่นอนว่าแม้ฉันจะมีอารมณ์ตรงข้ามกับคนอื่นแต่ในความคิดของฉันก็ย่อมคิดว่าผู้ที่มองว่าฉันบ้าเค้าก็คงมีความป่วย และเค้าก็สนับสนุนจิตด้านที่ป่วยไข้ของตัวเองอย่างสุดกู่เช่นกัน ก็นั่นน่ะซินะก็ฉันคิดว่าทุกอย่างมักเกิดจากปัญญานึกคิดด้วยกันทั้งนั้น
            คุณรู้ไม๊ว่าบนโลกของเราตอนนี้มีตัวละครที่ป่วยด้านสมองและจิตใจหลากหลายระดับมาโลดแล่นและทำงานอยู่ คุณไม่อาจรู้เลยว่าตัวเองป่วยอยู่ในระดับใด และคุณก็มิอาจรู้เลยว่าความป่วยทางสมองและจิตใจมันจะต้องใช้กลุ่มยาตัวใดเข้ารักษา และทุกครั้งที่เกิดเหตุสลดขึ้นในสังคมนั้นก็คืออาการกำเริบสืบสานของเชื้อโรคความป่วยนั้นที่มันแฝงตัวอยู่แล้วก็หมุนเปลี่ยนสับเวียนกันมาปรากฎตัว J
            เอาล่ะที่นี้ในฐานะที่เรา คือคุณ และฉันเป็นผู้อยู่รอดในโลกแห่งความป่วยไข้บ้าๆและยังไม่ถูกสังคมจับได้ว่าบ้าหรือป่วยแค่ไหน เรามานั่งล้อมวงฟังนิทานเรื่องเศร้าๆจากชีวิตที่ถูกบ่มด้วยความขมขื่นซ้ำไปซ้ำมาเป็นล้านครั้งกันดีกว่า ฉันเป็นผู้หญิงหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆและดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรู้ที่มีแบบจำกัดจำเขี่ยอยู่กับความฟุ้งเฟ้อแห่งความฝันทั้งที่แท้จริงแล้วแค่ว่าจะพาตัวเองไปให้รอดถึงวันพรุ่งนี้ได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย ฉันมียีนต์แห่งความทะเยอทะยานแบบที่ว่าแม้ใช้โลกทั้งโลกมาห่อความฝันฉันไว้ก็ยังไม่พอเอาเสียเลยเป็นคนที่อาจพูดได้ว่าแม้ไม่มีปีกก็อยากจะบินน่าตลกจริงๆใช่ไม๊ แต่คุณอย่าเพิ่งตลกและดูถูกความฝันเลยนะ
เพราะฉันกำลังจะบอกคุณว่าเพราะความฝันทำให้ฉันประสบความสำเร็จในชีวิตหลายครั้งด้วยความฝันที่ฉันตั้งไว้แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และทุกครั้งฉันก็เดินไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างงงๆ รู้อีกทีโอ้นี่ฉันทำได้แล้วนี่ที่เคยฝันไว้แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆทุกครั้งที่ฉันได้มีโอกาสชื่นชมกับความสำเร็จเหมือนกับพระเจ้าทรงโปรยกลื่นอโรม่ามาประทินจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นก็สาบส่งให้ลงไปอยู่ในบ่อน้ำอำมหิตให้แหวกว่ายอยู่ในอารมณ์ทดท้อซึมเศร้าและบ่อน้ำอันนี้นี่เองเมื่อเวลาที่ฉันจมลงไปจนถึงก้นบึ้งมันจะได้ความรู้สึกเหน็บหนาวจนตัวชาอยู่ในสภาวะที่ไร้สมรรถาพทางปัญญาอย่างสิ้นเชิง คือการจำนนต่อความพ่ายแพ้ชีวิตโดยดุษฎีมิมีข้อกังขา

            แต่ฉันไม่ปล่อยให้ฝูงอวตารความท้อแท้ฝูงใหญ่มาตั้งรกรากอยู่ในจิตใจฉันได้ยาวนานหรอกนะ เพราะฉันเป็นคนเบื่อง่ายเมื่อฉันสนิทกับความเศร้าเมื่อเราเจอหน้ากันทุกวัน เมื่อมันนำพาจิตใจฉันไปบนทางที่งี่เง่าทุกขณะจิตฉันก็เริ่มวางแผนถอดถอนมันออกจากใจฉันทันที  ฉันรู้ว่าฉันต้องหาเพื่อนใหม่ ยังไงนะเหรอ โปรดติดตามตอนต่อไป J   

...วัคซีน...