"หากหันหลังให้ดวงอาทิตย์ก็ได้เห็นแค่เงาตน.. แต่ถ้าเธอเงยหน้าให้ดวงจันทราเมื่อแสงส่องมาเธอก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร"
หลังจากผ่านช่างเวลามาได้พักนึง ฉันก็สลัดทิ้งความคิดอันแสนเจ็บปวด
หมกมุ่น หวั่นไหวออกไปทั้งหมดแล้วลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่ คงไม่มีใครใช้ชีวิตอย่างกระสับส่ายซังกะตายไม่อยากทานอาหารไปจนตายหรอกนะคุณว่าไม๊?
แต่ละช่วงชีวิตของทุกคนก็มักจะได้รับบาดแผลจากการต่อสู้มาด้วยกันทั้งนั้น และบาดแผลกับเรื่องราวนั้นเองที่จะบ่งบอกว่าเรารักชีวิตของเรามากมายเท่าไหร่
และมีใครคอยร่วมต่อสู้มากับเราด้วย
ความคิดมันตายไปแล้วทุกขณะ เมื่อเราจำมันได้มันก็คืออดีต
มันคือความความจรงจำที่ก่อขึ้นจากเศษซากของอดีตนั่นเอง และหากความทรงจำเป็นภาพถ่าย
มันก็คือภาพถ่ายของสมัยก่อนทั้งหมด เมื่อรู้ดังนี้แล้วชีวิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เราแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลยจริงๆเราเป็นคนมือสองของอดีต
เราเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลทางการคิด การใช้ชีวิต
และดำรงอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของอดีตทั้งหมด แล้วยังไงล่ะเราจะต้องกั้นห้องขังความคิดกันตัวเองออกจากการรบกวนของอดีตด้วยหรือเปล่า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าตลกขบขันจริงๆความคิดนี้ หรือเราจะต้องสะกดจิต ท่องจำคำว่า ปัจจุบัน
ปัจจุบัน ปัจจุบัน โคคาโคล่า เอาไว้เพื่อเตือนตัวเอง ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
การพยายามหาความสงบให้ความคิดก็เหมือนกับการจินตนาการหาการทำงานของแบคทีเรียในช่องคลอดมันคือความจริงอันล่องหน
คุณไม่มีทางรู้ว่ามันทำงานยังไงแต่มันมีผลบังคับให้คุณต้องปรับชีวิตตัวเองให้อยู่ในสภาวะแห่งสมดุลย์ตลอดเวลา
ไม่อย่างนั้นคุณจะป่วย คุณเคยรู้เรื่องนี้ไม๊มันเป็นความจริงง่ายๆแต่ก็นั่นสิ
ฉันอาจจะคิดเป็นอยู่คนเดียวก็ได้นะ ง่ายที่ไหน คิดได้ไงบ้าจะตาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า..บางครั้งในชีวิตเราก็ตรองไม่ตกว่าทำไมเราจะต้องทำตามความคิดของคนแปลกหน้า จากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตมีเซ็ทจำกัด คุณอยากเป็นตัวเอง
หรืออยากเป็นผลพลอยได้จากความสำเร็จของบุคคลอื่นแล้วทำตัวให้สำเร็จความคิดเพื่อยืนยันความไคร่อยากเป็น
อยากมี เพื่อสร้างอนุเสาวรีทางความคิดไว้ให้เขาต่อไปเรื่อยๆไม่มีจบ ไม่มีอะไรใหม่
น่าเบื่อจริงๆก็คือตอนนี้แหละชีวิตคุณรู้ไม๊?
ถ้าอดีตเป็นแพทย์ที่ช่วยวินิจฉัยโรคเค้าก็คงใช้ความเจ็บปวดเป็นยารักษาเรา
เราก็เป็นมนุษย์สเตอรอยด์เสพติดการบันเทาเพียงผิวเผิน
เดี๋ยวพอไม่นานโรคเก่าก็กลับมาใหม่ การวินิจฉัยชีวิตแบบทื่อๆอยู่บนโลกที่เราชี้เฉพาะเจาะจงอะไรให้ไม่ได้
เดี๋ยว ฟ้าก็ผ่า เดี๋ยวแผ่นดินก็ไหว เดี๋ยวภูเขาระเบิด เดี่ยวเกิดน้ำป่า ตามมาด้วยเชื้ออีโบร่า บลาๆๆๆ
ทั้งหมดนี้ไม่อาจระงับได้ด้วยการสงบ หรือการเพ่งจิตจนเกินพอดี การสะกดจิตให้สงบไม่สามารถปกปิดแก้ไขกระแสวิตกที่เกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยวินาทีได้
เหมือนเวลาคุณกำลังจมน้ำคุณยังจะมีสติไม๊
คุณยังจะมีความคิดหรือคำพูดอะไรสักอย่างเหมือนคนธรรมดาที่เขาไม่ได้ตกอยู่ในน้ำและกำลังใกล้จะตายเหมือนคุณหรือเปล่า
...โอ้ตื่นเต้นจังเรยที่กำลังจะได้ไปทัวร์นรกอเวจี… “Whatever will be will be”สิ้นสุดความคิดสุดท้ายแล้วจมดิ่งสู่ความตายอย่างสงบ..Oh
boy!!!!
เราไม่ใช่กระต่ายน้อยในอ้อมกอดของพระจันทร์วันเพ็ญ เราไม่อาจพร่ำบอกตัวเองให้ปิดกั้นความคิดอยู่แต่
ณ.ขณะนั้นในวงล้อมของเส้นวงกลมที่เมื่อผ่าเส้นผ่านศูนย์กลางแล้วมันอาจไม่ไช่180องศาอย่างที่เราจินตนาการและมันอาจแคบเกินไปสำหรับความคิดของคนหนึ่งคน
ต่อให้เราเรียนเรียนรู้มาจากประสบการณ์ตรงแล้วก็ไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวดและความผิดพลาดโดยธรรมชาติได้
เราต้องกล้าระเบิดตัวออกมาให้ทุกคนรอบตัวได้รู้ถึงความไม่โสภาของผิวดวงจันทร์แล้วเดินจากพวกหัวเก่าไปให้ไกลปล่อยทิ้งพวกเค้าไว้ให้อยู่กับเศษซากอดีตฝังในของความคิด
หน้าที่ของฉันคือการเรียนรู้ศาสตร์ประกอบการมีชีวิตขั้นสูง
“บางทีมันคงสูงมากจนฉันอธิบายให้คนเข้าใจและรู้จักไม่ได้
The unknown”คุณเข้าใจไม๊แล้วมันสามารถเข้าถึงด้วยตัวอักษรใด
หากคุณรู้ส่งเมล์บอกฉัน บางทีเราอาจจะมีเรื่องให้ร่วมตั้งวงเสวนาพูดคุยกันยาวๆ
ฮ่า.. เรามาร่วมซาบซึ้งกับความไม่แน่นอนกัน
ฉันไม่เคยมองเห็นตัวตนใครชัดเจนนักท่ามกลางถ้อยคำทั้งหลายที่อุทิศให้แก่กัน
ฉันอาจจะเป็นคนโง่มืออาชีพก็ได้ที่ไม่ค่อยเข้าใจและยอมรับการสั่งสอนของคนหรือครู
เว้นแต่เรื่องที่ฉันโง่อย่างหาญกล้าก็คือด่าครูแล้ว นอกนั้นฉันก็ดูจะไม่มีอะไรที่เคยทำเลยกับการมีปฏิสัมพันธ์กับความรู้
ฉันเดาว่าความอวดดีของฉันทำให้ความโง่มีที่ยืนทำให้คนเป็นตัวของตัวเอง
แล้วฉันก็คิดว่าความรู้ก็เป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่ทำลายเซลในสมองทำลายเซลความเป็นคนทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่วยด้วยการไม่รู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ
จนตายไปด้วยการรักษาที่ต้องฆ่าเซลต้นกำเนิดของตัวเอง เราทุกคนรู้จักตัวเองมากแค่ไหน-เราทุกคนเศร้าอย่างหนักขนาดไหนกับการจากไปของตัวตนในตัวเอง....โปรดติดตามตอนต่อไป
...วัคซีน...