วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

~The beauty side of my fault~5


ห่างหายกันไปนานกับสตอรี5 ระหว่างที่หายไปนี้ก็มีเรื่องราวให้พูดถึงมากมาย และวันนี้เรื่องจะพูด ก็คือ การปรากฏซ้ำของโรคซวยชนิดใหม่ที่ทำให้โชคดีด้านที่เหลือของฉันตกอยู่ในอันตรายขั้นคอขาดบาดตาย ความหวังกับฉันแทบจะสื่อสารกันผ่านการถอนหายใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์อยู่นี้ก็รู้สึกเอือมระอาชีวิตเกินกำลังส่ายศีรษะเบาเสียยิ่งกว่าเบา ด้วยกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้จิตวิญญาณตื่นตระหนก และหากพวกคุณอ่านแล้วรู้สึกอ่อนเพลียดิฉันแนะนำให้พ่นลมหายใจออกเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เอาล่ะ

ฉันอยากเล่าเรื่องราวความซวยและต่อด้วยปาฏิหาริย์ให้ทุกคนได้ฟังแบบคล่าวๆกว้างๆ เพื่อเป็นวิทยาทานและหาหนทางให้หัวใจฉันได้มีที่ทางระบายขับถ่ายความทุกข์ออกไปบ้าง เริ่มจากความซวยอันสุดแสนสาหัสก่อนแล้วกัน เรื่องมีอยู่ว่าในสภาวะที่ทุกคนตกอยู่ในสภาวะตกอับมีหลายวิธีที่จะต่อความหวังคร่าวๆของการอยู่รอดของเราทุกคน สำหรับฉันตอนนี้เลือกวิธีคลาสสิคคือขายของที่ตัวเองมีอยู่มากกว่าหาผู้สนับสนุนทางการเงินด้วยความสวย เพราะโชคด้านนั้นของดิฉันไม่เคยมี

หากใครเคยประสบกับสภาวะอะไรเยี่ยงนี้มาก่อนคุณก็คงจะรู้ดีว่าฟิลลิ่งนี้มันไม่น่าอภิรมย์นัก เหมือนคนล้มเหลวซ้ำซ้อน ทั้งอดีตและปัจจุบันของเรากำลังจะกลายเป็นอนาคตของคนสูญสลายทางทรัพสินย์ ก็แล้วยังไงล่ะ เรามีแผงควบคุมอื่นสำหรับทุกขลาภทางปัญญาหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มี และด้วยความเป็นคนที่โง่แสนสาหัสเรื่องเงินๆทองๆที่ทำให้ชีวิตมีปัญหามาตลอด ดิฉันไม่เคยรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมีค่ามีราคามากเท่าไหร่ ในชีวิตทุกคนอาจมีกฎสูงสุดของลัทธิคนรวยว่าชีวิตต้องมีบ้านมีรถ ทรัพย์สินมีเงินในบัญชีแต่ดิฉันเป็นพวกกบฎต่อต้านลัทธิดังว่านี้มาตลอด จึงไม่เคยรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองที่มีมันมีค่ายังไง สิ่งที่มีค่าในตัวดิฉันแต่ละอย่างไม่เคยเป็นคนซื้อหามาเองและทุกอย่างก็มักจะไม่เหลืออยู่เพราะถูกพรรคพวกเพื่อนผูงยืมหมด คนยืมก็ยืมทุกอย่าง ยืมเงินในบัญชี ยืมทอง ยืมทุกอย่างที่มี มีหลายคนด่าด้วยคำถามว่าโง่หรือเปล่าให้ไปทำไมให้จนหมดตัว ก็ไม่รู้สินะก็ตอนนั้นเราไม่มีภาระต้องใช้

และเมื่อถึงคราวที่ต้องใช้จึงจะรู้ว่าตัวเองไม่มี จากสภาวะที่เคยเป็นเจ้าหนี้ โอ้แม่เจ้า!!!ใครจะรู้ วันนี้ฉันต้องเป็นลูกหนี้ จริงแท้แน่นอนว่าสถานะนี้ไม่นำมาซึ่งความปราบปลื้มภายในหัวใจนักแม้จะเป็นลูกหนี้ต่อคนสนิทก็ตามฉันเลือกขายสิ่งที่รักที่สุดในชีวิตและไม่เคยมีความคิดจะขายมันมาก่อนแต่ปัญหามีอยู่ว่าสิ่งที่ฉันจะขายมันไม่ได้ขายง่ายเหมือนขายข้าวแกงข้างทาง ฉันนำแหวนทองหัวเพชรไปขอใบ certificate เพื่อการประเมินราคาก่อนขาย ณ.สถาบันแห่งหนึ่งซึ่งฉันคิดว่าความผิดพลาดคงเป็นไปไม่ได้กับสถาบันที่ขายความเชื่อมั่นระดับสูง แต่ใครจะรู้! พระเจ้าแหวนโดนเปลี่ยนและแล้วชีวิตฉันก็ยังใช้แผนที่ความซวยนำทางอยู่ต่อไป รู้สึกได้ทันทีว่าพระเจ้ารังเกียจฉันอย่างไม่มีเหตุผล ฉันเริ่มได้กลิ่นสิทธิพิเศษของคนกำลังจะตาย คือสิทธิในความหวังเล็กๆน้อยๆที่จะมีชีวิตต่อไปอย่างเรียบง่ายสบายๆ

 ฉันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆของท่าน ผ.ส.(เผด็จการกงการชีวิตขั้นสูงสุด) เธอโตมานาน อีกหน่อยก็ตายละฉันอยากเล่นเกมส์รับน้องประลองความอึดของเธอก่อนอวสานชีวิต ดูเหมือนน่าสนุกถ้านี่เป็นบทละคร แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าผู้เขียนบทเรื่องนี้ช่างใจร้ายกับฉันเหลือเกิน ส่งบทชีวิตให้ต้องต่อสู้กับอำนาจที่คาดไม่ถึง และแม้ถึงตอนนี้ที่ฉันกำลังเขียนเรื่องราวอยู่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าบทสุดท้ายฉันจะเป็นนางเอกผู้ซึ่งจะได้รับชัยนะหลังจากการโดนรังแกหรือจะเป็นบทเศร้านางเอกตายตอนจบ..

เหมือนฉันอยู่ในช่วงที่ความโชคดีทำตัวสงบระยะยาว ซึ่งฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะลาพักร้อนยาวขนาดนี้ และทุกครั้งที่ฉันประสบกับเคราะห์กรรมผู้ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่มักจะมีคำพูดเหมือนๆกันว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะเข้มแข็ง ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคำพูดโอ้อวดสรรพคุณอันมหาศาลของอากาศให้กับคนที่กำลังหายใจไม่ออก  เหมือนคนพูดจะรู้สึกว่าเป็นการปลอบประโลมมากมายซึ่งฉันกลับได้สัมผัสความรู้สึกผ่อนคลายมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มาถึงณ.จุดๆนี้รู้สึกผิดในใจและระแวงอยู่นิดหน่อยว่าสักวันผู้สนับสนุนจะเข้ามาอ่านเจอถ้อยคำอันตัดพ้อ และการทีฉันเขียนไปแบบนี้จะเรียกว่าเย็นชาต่อความรู้สึกของคนอื่นหรือเปล่า และแน่นอนฉันเดาได้ทันทีว่าเค้าคงจะมีคำถามพร้อมต่อว่าในใจกลับมาเหมือนกัน

 แล้วจะให้พูดให้รู้สึกยังไงล่ะ” ก็มีคำพูดที่ทำให้รู้สึกดีอยู่ที่แค่นี้

อ้อ อย่าเพิ่งขุ่นเคืองใจ หนูสบายดี” เบาสบายเหมือนอยู่ในรถไฟที่มีแต่ขาไปไม่มีขากลับ”

ฉันคิดว่าเพื่อนๆผู้อ่านคงเข้าไม่ถึงเรื่องนี้เรื่องที่มีการข่มขู่ มีการหลั่งน้ำตา และหยิบยื่นการปลอบประโลมให้กันผ่านการต่อสู้กับอำนาจในเงาของความดี ผ่านหน้ากากคุณธรรมอันต่ำตม ฉันเผชิญหน้ากับพวกปีศาจเหล่านั้นหลายครั้งแต่ละครั้งของชั่วโมงเหล่านั้นผ่านไปอย่างอืดอาด เนื้อหาก็ยังเป็นเรื่องราวการต่อสู้ทางคำพูดเดิมๆเก่าๆถูกนำมาเล่าใหม่ ศึกทั้งหลายที่คว้าชัยกลางสงครามที่ดูเหมือนจะปราชัยแน่นอน ความหวังถูกยึดเหนี่ยว สถาณการณ์ถูกปกปิดบิดเบือน ยังไม่มีใครได้รับความชอบธรรมและถูกติเตียน ความจริงยังไม่มาบรรจบกัน และ ณ ตรงนั้นยังไม่ใช่ที่สิงสถิตหัวใจของความยุติธรรม ฉันสังเกตเรื่องนี้เพราะทุกคนพูดเรื่องหัวใจของการทำงานอย่างโปร่งใสทุกครั้งที่มีการหารืออันน่าขยาด

มีการบันทึกภาพระหว่างการสนทนาเหมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ของความถูกต้องกันอย่างไรหรืออะไรเทือกนั้น เวลานั้นฉันคิดในใจว่าถ้าพระเจ้ามีจริงในตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของพระเจ้าก็คือ พวกคุณห้าหรือสี่คนกำลังโกหกโดยใช้ประโยชน์จากอดีตที่สดสวยด้วยกลมายาและปัญญาเนรมิต และกำลังค่อย ๆ ไต่เต้าเอาปริญญาอมตะปีศาจที่จะไม่ช่วยเพิ่มโอกาสทางอาชีพให้พวกคุณ และเช่นเดียวกับพวกเราทั้งหลาย ความหวังสุดท้ายก็คือ การรอให้ขนนกแห่งเทพเดอานูบีสร่วงลงมาและมอบการปลดปล่อย พวกคุณหลงอยู่ในภาพมายาที่คิดว่าตัวเองถูกต้องงดงาม และมองว่าผู้บริสุทธิ์คือปีศาจ หากคุณคิดว่าคนที่ถูกทำร้ายคือคนที่ต้องรับความผิดพวกคุณคงใช้ดวงตาและดวงใจคนละดวงกับพระเจ้า คุณอาจจะทำร้ายเค้าได้สำเร็จจนเค้าไม่เหลืออะไรแต่สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าเหลือไว้ให้ และซึ่งก็คงจะมีแต่ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่เปี่ยมเมตตาสูงสุดเท่านั้นที่มองเห็นและเรียกสิ่งนั้นว่าชีวิต

สำหรับเอ็นทรี่นี้กับเรื่องราวของความซวยเราพักกันไว้แค่นี้เอ็นทรีหน้าฉันจะมาต่อเรื่องราวปาฏิหารย์ให้อ่านโปรดติดตามนะคะ

วัคซีน

*เทพเดอานูบีส คือเทพแห่งความยุติธรรมใช้ตาชั่งวัดด้วยปีกขนนก หากความจริงอยู่ข้างไหนขนนกจะตกไปข้างนั้น*