วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

~The beauty side of my fault~5


ห่างหายกันไปนานกับสตอรี5 ระหว่างที่หายไปนี้ก็มีเรื่องราวให้พูดถึงมากมาย และวันนี้เรื่องจะพูด ก็คือ การปรากฏซ้ำของโรคซวยชนิดใหม่ที่ทำให้โชคดีด้านที่เหลือของฉันตกอยู่ในอันตรายขั้นคอขาดบาดตาย ความหวังกับฉันแทบจะสื่อสารกันผ่านการถอนหายใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์อยู่นี้ก็รู้สึกเอือมระอาชีวิตเกินกำลังส่ายศีรษะเบาเสียยิ่งกว่าเบา ด้วยกลัวเหลือเกินว่าจะทำให้จิตวิญญาณตื่นตระหนก และหากพวกคุณอ่านแล้วรู้สึกอ่อนเพลียดิฉันแนะนำให้พ่นลมหายใจออกเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เอาล่ะ

ฉันอยากเล่าเรื่องราวความซวยและต่อด้วยปาฏิหาริย์ให้ทุกคนได้ฟังแบบคล่าวๆกว้างๆ เพื่อเป็นวิทยาทานและหาหนทางให้หัวใจฉันได้มีที่ทางระบายขับถ่ายความทุกข์ออกไปบ้าง เริ่มจากความซวยอันสุดแสนสาหัสก่อนแล้วกัน เรื่องมีอยู่ว่าในสภาวะที่ทุกคนตกอยู่ในสภาวะตกอับมีหลายวิธีที่จะต่อความหวังคร่าวๆของการอยู่รอดของเราทุกคน สำหรับฉันตอนนี้เลือกวิธีคลาสสิคคือขายของที่ตัวเองมีอยู่มากกว่าหาผู้สนับสนุนทางการเงินด้วยความสวย เพราะโชคด้านนั้นของดิฉันไม่เคยมี

หากใครเคยประสบกับสภาวะอะไรเยี่ยงนี้มาก่อนคุณก็คงจะรู้ดีว่าฟิลลิ่งนี้มันไม่น่าอภิรมย์นัก เหมือนคนล้มเหลวซ้ำซ้อน ทั้งอดีตและปัจจุบันของเรากำลังจะกลายเป็นอนาคตของคนสูญสลายทางทรัพสินย์ ก็แล้วยังไงล่ะ เรามีแผงควบคุมอื่นสำหรับทุกขลาภทางปัญญาหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มี และด้วยความเป็นคนที่โง่แสนสาหัสเรื่องเงินๆทองๆที่ทำให้ชีวิตมีปัญหามาตลอด ดิฉันไม่เคยรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมีค่ามีราคามากเท่าไหร่ ในชีวิตทุกคนอาจมีกฎสูงสุดของลัทธิคนรวยว่าชีวิตต้องมีบ้านมีรถ ทรัพย์สินมีเงินในบัญชีแต่ดิฉันเป็นพวกกบฎต่อต้านลัทธิดังว่านี้มาตลอด จึงไม่เคยรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองที่มีมันมีค่ายังไง สิ่งที่มีค่าในตัวดิฉันแต่ละอย่างไม่เคยเป็นคนซื้อหามาเองและทุกอย่างก็มักจะไม่เหลืออยู่เพราะถูกพรรคพวกเพื่อนผูงยืมหมด คนยืมก็ยืมทุกอย่าง ยืมเงินในบัญชี ยืมทอง ยืมทุกอย่างที่มี มีหลายคนด่าด้วยคำถามว่าโง่หรือเปล่าให้ไปทำไมให้จนหมดตัว ก็ไม่รู้สินะก็ตอนนั้นเราไม่มีภาระต้องใช้

และเมื่อถึงคราวที่ต้องใช้จึงจะรู้ว่าตัวเองไม่มี จากสภาวะที่เคยเป็นเจ้าหนี้ โอ้แม่เจ้า!!!ใครจะรู้ วันนี้ฉันต้องเป็นลูกหนี้ จริงแท้แน่นอนว่าสถานะนี้ไม่นำมาซึ่งความปราบปลื้มภายในหัวใจนักแม้จะเป็นลูกหนี้ต่อคนสนิทก็ตามฉันเลือกขายสิ่งที่รักที่สุดในชีวิตและไม่เคยมีความคิดจะขายมันมาก่อนแต่ปัญหามีอยู่ว่าสิ่งที่ฉันจะขายมันไม่ได้ขายง่ายเหมือนขายข้าวแกงข้างทาง ฉันนำแหวนทองหัวเพชรไปขอใบ certificate เพื่อการประเมินราคาก่อนขาย ณ.สถาบันแห่งหนึ่งซึ่งฉันคิดว่าความผิดพลาดคงเป็นไปไม่ได้กับสถาบันที่ขายความเชื่อมั่นระดับสูง แต่ใครจะรู้! พระเจ้าแหวนโดนเปลี่ยนและแล้วชีวิตฉันก็ยังใช้แผนที่ความซวยนำทางอยู่ต่อไป รู้สึกได้ทันทีว่าพระเจ้ารังเกียจฉันอย่างไม่มีเหตุผล ฉันเริ่มได้กลิ่นสิทธิพิเศษของคนกำลังจะตาย คือสิทธิในความหวังเล็กๆน้อยๆที่จะมีชีวิตต่อไปอย่างเรียบง่ายสบายๆ

 ฉันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆของท่าน ผ.ส.(เผด็จการกงการชีวิตขั้นสูงสุด) เธอโตมานาน อีกหน่อยก็ตายละฉันอยากเล่นเกมส์รับน้องประลองความอึดของเธอก่อนอวสานชีวิต ดูเหมือนน่าสนุกถ้านี่เป็นบทละคร แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าผู้เขียนบทเรื่องนี้ช่างใจร้ายกับฉันเหลือเกิน ส่งบทชีวิตให้ต้องต่อสู้กับอำนาจที่คาดไม่ถึง และแม้ถึงตอนนี้ที่ฉันกำลังเขียนเรื่องราวอยู่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าบทสุดท้ายฉันจะเป็นนางเอกผู้ซึ่งจะได้รับชัยนะหลังจากการโดนรังแกหรือจะเป็นบทเศร้านางเอกตายตอนจบ..

เหมือนฉันอยู่ในช่วงที่ความโชคดีทำตัวสงบระยะยาว ซึ่งฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะลาพักร้อนยาวขนาดนี้ และทุกครั้งที่ฉันประสบกับเคราะห์กรรมผู้ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนให้มีชีวิตอยู่มักจะมีคำพูดเหมือนๆกันว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะเข้มแข็ง ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคำพูดโอ้อวดสรรพคุณอันมหาศาลของอากาศให้กับคนที่กำลังหายใจไม่ออก  เหมือนคนพูดจะรู้สึกว่าเป็นการปลอบประโลมมากมายซึ่งฉันกลับได้สัมผัสความรู้สึกผ่อนคลายมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มาถึงณ.จุดๆนี้รู้สึกผิดในใจและระแวงอยู่นิดหน่อยว่าสักวันผู้สนับสนุนจะเข้ามาอ่านเจอถ้อยคำอันตัดพ้อ และการทีฉันเขียนไปแบบนี้จะเรียกว่าเย็นชาต่อความรู้สึกของคนอื่นหรือเปล่า และแน่นอนฉันเดาได้ทันทีว่าเค้าคงจะมีคำถามพร้อมต่อว่าในใจกลับมาเหมือนกัน

 แล้วจะให้พูดให้รู้สึกยังไงล่ะ” ก็มีคำพูดที่ทำให้รู้สึกดีอยู่ที่แค่นี้

อ้อ อย่าเพิ่งขุ่นเคืองใจ หนูสบายดี” เบาสบายเหมือนอยู่ในรถไฟที่มีแต่ขาไปไม่มีขากลับ”

ฉันคิดว่าเพื่อนๆผู้อ่านคงเข้าไม่ถึงเรื่องนี้เรื่องที่มีการข่มขู่ มีการหลั่งน้ำตา และหยิบยื่นการปลอบประโลมให้กันผ่านการต่อสู้กับอำนาจในเงาของความดี ผ่านหน้ากากคุณธรรมอันต่ำตม ฉันเผชิญหน้ากับพวกปีศาจเหล่านั้นหลายครั้งแต่ละครั้งของชั่วโมงเหล่านั้นผ่านไปอย่างอืดอาด เนื้อหาก็ยังเป็นเรื่องราวการต่อสู้ทางคำพูดเดิมๆเก่าๆถูกนำมาเล่าใหม่ ศึกทั้งหลายที่คว้าชัยกลางสงครามที่ดูเหมือนจะปราชัยแน่นอน ความหวังถูกยึดเหนี่ยว สถาณการณ์ถูกปกปิดบิดเบือน ยังไม่มีใครได้รับความชอบธรรมและถูกติเตียน ความจริงยังไม่มาบรรจบกัน และ ณ ตรงนั้นยังไม่ใช่ที่สิงสถิตหัวใจของความยุติธรรม ฉันสังเกตเรื่องนี้เพราะทุกคนพูดเรื่องหัวใจของการทำงานอย่างโปร่งใสทุกครั้งที่มีการหารืออันน่าขยาด

มีการบันทึกภาพระหว่างการสนทนาเหมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ของความถูกต้องกันอย่างไรหรืออะไรเทือกนั้น เวลานั้นฉันคิดในใจว่าถ้าพระเจ้ามีจริงในตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของพระเจ้าก็คือ พวกคุณห้าหรือสี่คนกำลังโกหกโดยใช้ประโยชน์จากอดีตที่สดสวยด้วยกลมายาและปัญญาเนรมิต และกำลังค่อย ๆ ไต่เต้าเอาปริญญาอมตะปีศาจที่จะไม่ช่วยเพิ่มโอกาสทางอาชีพให้พวกคุณ และเช่นเดียวกับพวกเราทั้งหลาย ความหวังสุดท้ายก็คือ การรอให้ขนนกแห่งเทพเดอานูบีสร่วงลงมาและมอบการปลดปล่อย พวกคุณหลงอยู่ในภาพมายาที่คิดว่าตัวเองถูกต้องงดงาม และมองว่าผู้บริสุทธิ์คือปีศาจ หากคุณคิดว่าคนที่ถูกทำร้ายคือคนที่ต้องรับความผิดพวกคุณคงใช้ดวงตาและดวงใจคนละดวงกับพระเจ้า คุณอาจจะทำร้ายเค้าได้สำเร็จจนเค้าไม่เหลืออะไรแต่สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าเหลือไว้ให้ และซึ่งก็คงจะมีแต่ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่เปี่ยมเมตตาสูงสุดเท่านั้นที่มองเห็นและเรียกสิ่งนั้นว่าชีวิต

สำหรับเอ็นทรี่นี้กับเรื่องราวของความซวยเราพักกันไว้แค่นี้เอ็นทรีหน้าฉันจะมาต่อเรื่องราวปาฏิหารย์ให้อ่านโปรดติดตามนะคะ

วัคซีน

*เทพเดอานูบีส คือเทพแห่งความยุติธรรมใช้ตาชั่งวัดด้วยปีกขนนก หากความจริงอยู่ข้างไหนขนนกจะตกไปข้างนั้น*

 

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

~The beauty side of my fault~4

มีสองสามสิ่งที่มักจะอยู่ผิดที่ผิดทางเสมอ นั่นคือ ศรัทธา ความจริง และคำถาม เราไม่เคยรู้ว่าใครให้คำตอบใครหรือว่าใครที่ให้คำตอบนั้นเป็นแค่คนที่นำอักษรในพจนานุมกรมมาเรียงรวมกันให้เกิดความหมาย แล้วคุณไว้ใจตัวอักษรนั้นได้แค่ไหนในเมื่อมันเป็นแค่ภาคต่อๆของเรื่องราวในพจนานุกรม เมื่อมันกระโดดผึงมาให้คำตอบแก่คุณคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณอาจมีอยู่หลายตัวตน และมันช่างเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ใจจริงๆที่คุณอาจจะรู้สึกปลื้มปิติเสียเหลือเกินกับการส่งต่อความจริงด้วยความห่างไกลความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง อ้าว!!แล้วชีวิตนี้มันคืออะไรกันนะ?ทำไม ศรัทธา ความจริงไม่เคยให้โอกาสเราได้เข้าเยี่ยมชมตามสะดวกเหมือนงานแสดงศิลป์บ้าง เรื่มสับสนในชีวิต..

            ที่นี้ลองหันมาดูระดับออกซิเจนในตัวเองว่าเวลาที่จิตใจสับสนวุ่ยวาย ระบบการหมุนเวียนของโลหิตยังผลิตได้อย่างปกติอยู่หรือเปล่า เมื่อมันไม่ปกติชีวิต คืออะไร? เมื่อมันเป็นปกติชีวิตคืออะไร? สักวันในอนาคตเราต้องรู้หรือ?แล้วคุณไปเอาความมั่นใจในอนาคตมาจากไหน มันมีตั้งหลายวิธีที่จะสำรวจความหวังคร่าวๆให้กับชีวิตเพื่ออยู่รอด ไม่ใช่รอความเป็นจริงมายืนเสนอตัวอยู่ตรงหน้า แล้วเที่ยวโพนทนาว่าข้าเนี่ยตัวจริง การพิจาณาหาความจริงแค่ตระหนักคิดว่าจะทำก็โง่แล้ว อย่าประกอบอาชีพเป็นเงาตามตัวคอยดูพฤติกรรมของความจริงแม้แต่ Part time หรือFull time เพราะมันจะบั่นทอนเงินออมของชีวิตไปกับค่าแรงของความโง่คุณไม่ควรเป็นหนี้ไปมากกว่านี้ด้วยการจับจ่ายความคิดให้กับเรื่องเศร้าๆเพื่อสืบหาความหมายว่า ชีวิตคืออะไรมันไม่มีความหมายจนกว่าความตายจะมาถึง

            จงอ่านความหมายของชีวิตด้วยการทักทายมัน
ว้าวว!! “โอ้เจ้าชีวิตเราจะไปถึงฝันกันยังไงดี? แกช่วยฉันอธิษฐานได้ไม๊?
         “ไม่ได้ฉันใช้คำอธิษฐานไปหมดแล้วตั้งแต่เธอเกิดมา
         “เธอขออะไรไปเหรอ?
         “ฉันขอให้เธอเกิดและมีชีวิต
         “อ๋อที่แท้วันนั้นคือวันที่โคลัมบัสค้นพบทวีปใหม่ เราควรรำลึกถึงเหตุการนั้นด้วยการออกไปสำราญกันไหมเจ้าชีวิต
         “อ้อเธออยากจะทำอะไรในวันนี้เหรอ
         “ฉันอยากทำสถิติโลกด้วยการสร้างอ้อมกอดทลายกำแพงวัฒนธรรม กำแพงความเกลียด ฉันจะสร้างโมแมนตั้มรักด้วยการจัดงานปาร์ตี้ยา"Love"โลก
         “เธอคงบ้าไปแล้วจริงๆ
            “จริงๆนะฉันอยากให้โลกนี้ผลิตยาตัวหนึ่ง ที่จะสามารถเอาชนะความกลัว ความเกลียดจนขึ้นสมองของคนได้
            “เธอจะไม่รู้สึกอับอายกับความสิ้นหวังของต่อมสร้างสุขด้วยตัวเองเหรอ
            “ฉันคิดว่าต่อมสร้างสุขในตัวมนุษย์ทุกวันนี้มันคงโดนโมเลกุลความเกลียด และความกลัวเกาะติดรัดจนเซลล์มันเสื่อมหยุดการเจริญเติบโตและพัฒนาการได้เองไปนานแล้วล่ะ เธอลองคิดดูสิเจ้าชีวิตว่าถ้าความทุกข์หยุดนิ่ง ชีวิตเราจะดีขนาดไหน
            “เธอหวังจะให้จิตใจเธอดิ้นรนไปได้ไม่มีกำหนดด้วยความช่วยเหลือจากละอองความสุขเล็กๆด้วยสารเสพติดความสุขที่เป็นที่ยอมรับกันว่ามันคือปาฏิหารย์ที่จะช่วยซื้อเวลาให้ชีวิตอย่างนั้นหรือ?
            “ใช่เพราะฉันสงสัยเสมอว่าความเล็กๆน้อยๆของความสุขนั้นมันใหญ่โตขนาดไหน
.....
        และแล้วชีวิตก็ไม่มีคำตอบต่อจากฉัน ซึ่งมันก็คงสมเหตุสมผลดีถ้าชีวิตจะทำให้ฉันเป็นคนพิเศษที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ ฉันคิดอะไรไม่ออก อยากหยุดไว้ตรงนี้ และพยายามคิดดูใหม่ว่าความคิดฉันควรผ่านการปรับเพื่อเอาใจสิ่งแวดล้อม เอาใจโลก เอาใจวัฒนธรรมและคนรอบข้างหรือไม่ คุณคิดว่าไง คุณอยากเขียนเรื่องราวต่อจากฉันไหม ถ้าคำตอบคุณคือใช่ส่งข้อความหาฉัน  แล้วฉันจะเขียนความคิดของคุณเพื่องานฉัน Selfish จังVaczeen..
           ...วัคซีน...


วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~3

"หากหันหลังให้ดวงอาทิตย์ก็ได้เห็นแค่เงาตน.. แต่ถ้าเธอเงยหน้าให้ดวงจันทราเมื่อแสงส่องมาเธอก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร"

หลังจากผ่านช่างเวลามาได้พักนึง ฉันก็สลัดทิ้งความคิดอันแสนเจ็บปวด หมกมุ่น หวั่นไหวออกไปทั้งหมดแล้วลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่ คงไม่มีใครใช้ชีวิตอย่างกระสับส่ายซังกะตายไม่อยากทานอาหารไปจนตายหรอกนะคุณว่าไม๊? แต่ละช่วงชีวิตของทุกคนก็มักจะได้รับบาดแผลจากการต่อสู้มาด้วยกันทั้งนั้น และบาดแผลกับเรื่องราวนั้นเองที่จะบ่งบอกว่าเรารักชีวิตของเรามากมายเท่าไหร่ และมีใครคอยร่วมต่อสู้มากับเราด้วย

ความคิดมันตายไปแล้วทุกขณะ เมื่อเราจำมันได้มันก็คืออดีต มันคือความความจรงจำที่ก่อขึ้นจากเศษซากของอดีตนั่นเอง และหากความทรงจำเป็นภาพถ่าย มันก็คือภาพถ่ายของสมัยก่อนทั้งหมด เมื่อรู้ดังนี้แล้วชีวิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้เราแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลยจริงๆเราเป็นคนมือสองของอดีต เราเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลทางการคิด การใช้ชีวิต และดำรงอยู่บนพื้นฐานความเชื่อของอดีตทั้งหมด แล้วยังไงล่ะเราจะต้องกั้นห้องขังความคิดกันตัวเองออกจากการรบกวนของอดีตด้วยหรือเปล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าตลกขบขันจริงๆความคิดนี้ หรือเราจะต้องสะกดจิต ท่องจำคำว่า ปัจจุบัน ปัจจุบัน ปัจจุบัน โคคาโคล่า เอาไว้เพื่อเตือนตัวเอง ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

การพยายามหาความสงบให้ความคิดก็เหมือนกับการจินตนาการหาการทำงานของแบคทีเรียในช่องคลอดมันคือความจริงอันล่องหน คุณไม่มีทางรู้ว่ามันทำงานยังไงแต่มันมีผลบังคับให้คุณต้องปรับชีวิตตัวเองให้อยู่ในสภาวะแห่งสมดุลย์ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นคุณจะป่วย คุณเคยรู้เรื่องนี้ไม๊มันเป็นความจริงง่ายๆแต่ก็นั่นสิ ฉันอาจจะคิดเป็นอยู่คนเดียวก็ได้นะ ง่ายที่ไหน คิดได้ไงบ้าจะตาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า..บางครั้งในชีวิตเราก็ตรองไม่ตกว่าทำไมเราจะต้องทำตามความคิดของคนแปลกหน้า  จากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตมีเซ็ทจำกัด คุณอยากเป็นตัวเอง หรืออยากเป็นผลพลอยได้จากความสำเร็จของบุคคลอื่นแล้วทำตัวให้สำเร็จความคิดเพื่อยืนยันความไคร่อยากเป็น อยากมี เพื่อสร้างอนุเสาวรีทางความคิดไว้ให้เขาต่อไปเรื่อยๆไม่มีจบ ไม่มีอะไรใหม่ น่าเบื่อจริงๆก็คือตอนนี้แหละชีวิตคุณรู้ไม๊?

 ถ้าอดีตเป็นแพทย์ที่ช่วยวินิจฉัยโรคเค้าก็คงใช้ความเจ็บปวดเป็นยารักษาเรา  เราก็เป็นมนุษย์สเตอรอยด์เสพติดการบันเทาเพียงผิวเผิน เดี๋ยวพอไม่นานโรคเก่าก็กลับมาใหม่ การวินิจฉัยชีวิตแบบทื่อๆอยู่บนโลกที่เราชี้เฉพาะเจาะจงอะไรให้ไม่ได้ เดี๋ยว ฟ้าก็ผ่า  เดี๋ยวแผ่นดินก็ไหว เดี๋ยวภูเขาระเบิด เดี่ยวเกิดน้ำป่า ตามมาด้วยเชื้ออีโบร่า บลาๆๆๆ ทั้งหมดนี้ไม่อาจระงับได้ด้วยการสงบ หรือการเพ่งจิตจนเกินพอดี การสะกดจิตให้สงบไม่สามารถปกปิดแก้ไขกระแสวิตกที่เกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยวินาทีได้ เหมือนเวลาคุณกำลังจมน้ำคุณยังจะมีสติไม๊ คุณยังจะมีความคิดหรือคำพูดอะไรสักอย่างเหมือนคนธรรมดาที่เขาไม่ได้ตกอยู่ในน้ำและกำลังใกล้จะตายเหมือนคุณหรือเปล่า  ...โอ้ตื่นเต้นจังเรยที่กำลังจะได้ไปทัวร์นรกอเวจี “Whatever will be will be”สิ้นสุดความคิดสุดท้ายแล้วจมดิ่งสู่ความตายอย่างสงบ..Oh boy!!!!

เราไม่ใช่กระต่ายน้อยในอ้อมกอดของพระจันทร์วันเพ็ญ  เราไม่อาจพร่ำบอกตัวเองให้ปิดกั้นความคิดอยู่แต่ ณ.ขณะนั้นในวงล้อมของเส้นวงกลมที่เมื่อผ่าเส้นผ่านศูนย์กลางแล้วมันอาจไม่ไช่180องศาอย่างที่เราจินตนาการและมันอาจแคบเกินไปสำหรับความคิดของคนหนึ่งคน ต่อให้เราเรียนเรียนรู้มาจากประสบการณ์ตรงแล้วก็ไม่อาจหลีกหนีความเจ็บปวดและความผิดพลาดโดยธรรมชาติได้ เราต้องกล้าระเบิดตัวออกมาให้ทุกคนรอบตัวได้รู้ถึงความไม่โสภาของผิวดวงจันทร์แล้วเดินจากพวกหัวเก่าไปให้ไกลปล่อยทิ้งพวกเค้าไว้ให้อยู่กับเศษซากอดีตฝังในของความคิด

หน้าที่ของฉันคือการเรียนรู้ศาสตร์ประกอบการมีชีวิตขั้นสูง บางทีมันคงสูงมากจนฉันอธิบายให้คนเข้าใจและรู้จักไม่ได้ The unknown”คุณเข้าใจไม๊แล้วมันสามารถเข้าถึงด้วยตัวอักษรใด หากคุณรู้ส่งเมล์บอกฉัน บางทีเราอาจจะมีเรื่องให้ร่วมตั้งวงเสวนาพูดคุยกันยาวๆ ฮ่า.. เรามาร่วมซาบซึ้งกับความไม่แน่นอนกัน

  ฉันไม่เคยมองเห็นตัวตนใครชัดเจนนักท่ามกลางถ้อยคำทั้งหลายที่อุทิศให้แก่กัน  ฉันอาจจะเป็นคนโง่มืออาชีพก็ได้ที่ไม่ค่อยเข้าใจและยอมรับการสั่งสอนของคนหรือครู เว้นแต่เรื่องที่ฉันโง่อย่างหาญกล้าก็คือด่าครูแล้ว นอกนั้นฉันก็ดูจะไม่มีอะไรที่เคยทำเลยกับการมีปฏิสัมพันธ์กับความรู้ ฉันเดาว่าความอวดดีของฉันทำให้ความโง่มีที่ยืนทำให้คนเป็นตัวของตัวเอง แล้วฉันก็คิดว่าความรู้ก็เป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่ทำลายเซลในสมองทำลายเซลความเป็นคนทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่วยด้วยการไม่รู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ จนตายไปด้วยการรักษาที่ต้องฆ่าเซลต้นกำเนิดของตัวเอง เราทุกคนรู้จักตัวเองมากแค่ไหน-เราทุกคนเศร้าอย่างหนักขนาดไหนกับการจากไปของตัวตนในตัวเอง....โปรดติดตามตอนต่อไป
...วัคซีน...


วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~2


           ก่อนจะหาเพื่อนใหม่ก็ต้องเรียนรู้การผูกมิตรกับคนอื่น แต่ฉันไม่มีเพื่อนเลยสักคน   นั่นก็เป็นเพราะผลกระทบจากความถังแตกของตัวเอง ความถังแตกส่งผลให้เกิดโรคทุกข์ทนที่ติดเชื้อมาจากความตกอับจนน่าอับอายโรคนี้นอกจากจะทำให้ฉันเป็นคนต่อต้านสังคมแล้วมันยังทำให้เพื่อนฝูงญาติมิตรรังเกียจขึ้นมาโดยฉับพลันด้วย  คล้ายดังว่าฉันอาจเป็นตัวอันตรายวินาทีนี้ควรอยู่ห่างๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าแท้จริงเค้ากลัวการติดต่อของโรคหรือเปล่าเพราะมันก็ไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันได้ทางลมหายใจสักหน่อย หรือว่าเค้าอาจกลัวฉันจะติดต่อขอยืมเงินกันก็เป็นได้ ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาของชีวิตที่โบราณเค้าบอกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซัดนัยทางปรัชญาเรียกว่าการปรากฏซ้ำของความซวย ซึ่งก็คือเหตุการณ์จากสองสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน In the same time เวลานี้นี่เองที่ความเจ็บใจเจ็บปวดเดินทางมาเยือนเกือบทุกลมหายใจ  ใครจะรู้มาก่อนว่ามันจะจัดหนักเป็นมาราธอนเลยทีเดียว

            ไม่เป็นไรถึงจะเจ็บปวดเราก็ควรจะมีชีวิตต่อมิใช่เหรอ ฉันบอกกับตัวเอง และแล้วก็หันหน้าเข้าหา.......ฮ่าๆๆไม่ใช่สัจธรรมหรอกโลกไซเบอร์อย่างเต็มตัวต่างหาก ฉันเริ่มเขียนและเกรียนเพื่อระบาย ตัวหนังสือกับตัวฉันสื่อสารถึงกันผ่านการถอนหายใจและมีสายใยแก้วความเร็วระดับปานกลางประมาณ3.0กิ๊กกะไบค์รองรับความอัตคัดอัดอั้น  ฉันมีผู้สนับสนุนความเศร้าความน่าเบื่อด้วยนะ เมื่อฉันเข้าไปโลดแล่นอยู่ในเว็ปไซค์หนึ่งอยู่หลายสัปดาห์จากนั้นเราก็จะนัดพบกันทุกวันไม่นัดหมายเวลา ฉันเริ่มเขียนบล็อกระบายความเป็นตัวเอง เขียนสิ่งที่รู้สึก เขียนสิ่งที่เจอ เขียนเรื่องโง่ๆที่ทะเลาะกับคนในอวกาศ บ้าไปแล้ว
 
แต่คุณรู้ไม๊ในความบ้า ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ฉันเริ่มเจอผู้คนในโลกที่เสกขึ้นมาจากอากาศธาศ ฉันจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยไม่รอคำว่าโชคชะตาดีมาเคาะประตูหน้าบ้าน มีอย่างเดียวในโลกนี้ที่ฉันไม่ศรัทธาก็คือการรอ เพราะฉันคิดว่าการรอมันน่าจะเป็นกิจกรรมเฉพาะที่สงวนไว้ให้กับผู้ที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตมากกว่า แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วมันเป็นกิจกรรมที่โง่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
 
ก็ไม่รู้สินะฉันคิดว่าคนทุกคนสามารถแสดงความรู้สึกและความสามารถได้เท่าแค่ที่เรามีอยู่ และฉันก็ไม่เรียกสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยมานะและความพยายาม ว่าเป็นเรื่องของ"โชคชะตา"หรอกเพราะถ้าหากฉันปล่อยให้ความกลัวของฉันกลายเป็นแสงแรกที่ลุกโชติช่วงซะแล้วล่ะก็ความสัมพันธ์ของฉันกับความกลัวก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้นและสุดท้ายมันก็คงครอบงำฉันไปตลอดกาล  คุณคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่าถ้าหากโชคดีหรือโชคร้ายบนโลกนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา โชคชะตาเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน  ฉันไม่ปล่อยให้ความโชคร้ายมาตีตั๋วเดินทางเที่ยวเดียวอันไร้เที่ยวกลับแน่ เพราะฉันไม่อยากให้โชคดีของฉันถูกปิดตายลง 

 'แต่รถไฟขบวนสุดท้ายของเที่ยวนี้จะวิ่งไปไหนต่อไปล่ะ  โปรดติดตามตอนต่อไปนะ'

 

...วัคซีน...
 

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

~The beauty side of my fault~ 1

ช่วงเวลาแห่งความล้มเหลว5ปีที่ผ่านมาของขีวิต  ฉันใช้ขีวิตอยู่แต่ในบ้านใช้เวลาอยู่คนเดียวไม่พบปะผู้คนไม่ยอมพูดจากับใคร  จนทุกคนลงความเห็นว่าฉันเป็นบ้า เป็นโรคซึมเศร้า เป็นคนอกหักเป็นคนแปลกมีพิรุธ เป็นคนขายยา ติดยา หรืออะไรก็แล้วแต่ต่างๆนาๆในกระบวนการคิดของบุคคลอื่นซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดออกมาได้ ฉันใข้เวลาอยู่ในบ้านหลังนั้นที่ผู้คนสงสัย ใช้เวลาอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำๆวนไปเวียนมา ทำสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้เพราะมันอยู่ในความคิด  ฉันอุทิศเวลาที่เหลือเฟือทางกายภาพซึ่งเป็นเวลาอันไร้ค่าทางเศรษฐกิจของฉันให้กับการคิดเสียเกือบทั้งหมด
                มีบ้างบางเวลาที่ฉันปลีกตัวออกไปซุกซนอยู่ในโลกออนไลน์ ตามเว็ปไซด์ต่างๆหรืออะไรก็ตามที่ใข้เพียงแต่จินตนาการในการเข้าถึงชีวิตของฉันและชีวิตอื่นๆบนโลกไซเบอร์ใบนั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้มักจะสั่งสมอารมณ์การอยู่คนเดียวของฉันให้ยิ่งเพิ่มพูลมากขึ้นทุกวัน แต่ในความเป็นจริงใครจะรู้ว่าอารมณ์ซึมเศร้าของฉันมิใช่ความบ้า แต่มันคือผลข้างเคียงของโรคต่อต้านสังคมมากกว่า เมื่อเกิดสภาวะผิดพลาดซ้ำๆกับชีวิตฉันจึงเลือกที่จะงดและหยุดการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมลงโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าความเหงา เศร้า อยากตายในบางครั้ง มันก็เกิดจากผลข้างเคียงแห่งอารมณ์ผิดหวังแทบทั้งนั้นเมื่อเวลาที่ชีวิตได้จ่มดิ่งอยู่ในอารมณ์โดดเดียวอย่างรุนแรง
            และแม้การลงโทษตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จด้วยสภาวะกดดันตัวเองจะทำให้ฉันเป็นบุคคลที่ได้ชื่อทางสังคมว่า ป่วย บ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวตนอันแท้จริงของฉันนั้นหายไป ถ้าเป็นคุณล่ะ คุณจะเลือกทำตัวเองให้ บ้า ป่วย หรือเหลวแหลกเพื่อสนับสนุนกลุ่มความคิดของบุคคลอื่นไหมล่ะ ชีวิตฉันก็ตลกขบขันมากแล้วตอนนี้ฉันจึงไม่เสพอารมร์นั้น  แน่นอนว่าแม้ฉันจะมีอารมณ์ตรงข้ามกับคนอื่นแต่ในความคิดของฉันก็ย่อมคิดว่าผู้ที่มองว่าฉันบ้าเค้าก็คงมีความป่วย และเค้าก็สนับสนุนจิตด้านที่ป่วยไข้ของตัวเองอย่างสุดกู่เช่นกัน ก็นั่นน่ะซินะก็ฉันคิดว่าทุกอย่างมักเกิดจากปัญญานึกคิดด้วยกันทั้งนั้น
            คุณรู้ไม๊ว่าบนโลกของเราตอนนี้มีตัวละครที่ป่วยด้านสมองและจิตใจหลากหลายระดับมาโลดแล่นและทำงานอยู่ คุณไม่อาจรู้เลยว่าตัวเองป่วยอยู่ในระดับใด และคุณก็มิอาจรู้เลยว่าความป่วยทางสมองและจิตใจมันจะต้องใช้กลุ่มยาตัวใดเข้ารักษา และทุกครั้งที่เกิดเหตุสลดขึ้นในสังคมนั้นก็คืออาการกำเริบสืบสานของเชื้อโรคความป่วยนั้นที่มันแฝงตัวอยู่แล้วก็หมุนเปลี่ยนสับเวียนกันมาปรากฎตัว J
            เอาล่ะที่นี้ในฐานะที่เรา คือคุณ และฉันเป็นผู้อยู่รอดในโลกแห่งความป่วยไข้บ้าๆและยังไม่ถูกสังคมจับได้ว่าบ้าหรือป่วยแค่ไหน เรามานั่งล้อมวงฟังนิทานเรื่องเศร้าๆจากชีวิตที่ถูกบ่มด้วยความขมขื่นซ้ำไปซ้ำมาเป็นล้านครั้งกันดีกว่า ฉันเป็นผู้หญิงหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆและดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรู้ที่มีแบบจำกัดจำเขี่ยอยู่กับความฟุ้งเฟ้อแห่งความฝันทั้งที่แท้จริงแล้วแค่ว่าจะพาตัวเองไปให้รอดถึงวันพรุ่งนี้ได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย ฉันมียีนต์แห่งความทะเยอทะยานแบบที่ว่าแม้ใช้โลกทั้งโลกมาห่อความฝันฉันไว้ก็ยังไม่พอเอาเสียเลยเป็นคนที่อาจพูดได้ว่าแม้ไม่มีปีกก็อยากจะบินน่าตลกจริงๆใช่ไม๊ แต่คุณอย่าเพิ่งตลกและดูถูกความฝันเลยนะ
เพราะฉันกำลังจะบอกคุณว่าเพราะความฝันทำให้ฉันประสบความสำเร็จในชีวิตหลายครั้งด้วยความฝันที่ฉันตั้งไว้แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และทุกครั้งฉันก็เดินไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างงงๆ รู้อีกทีโอ้นี่ฉันทำได้แล้วนี่ที่เคยฝันไว้แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆทุกครั้งที่ฉันได้มีโอกาสชื่นชมกับความสำเร็จเหมือนกับพระเจ้าทรงโปรยกลื่นอโรม่ามาประทินจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นก็สาบส่งให้ลงไปอยู่ในบ่อน้ำอำมหิตให้แหวกว่ายอยู่ในอารมณ์ทดท้อซึมเศร้าและบ่อน้ำอันนี้นี่เองเมื่อเวลาที่ฉันจมลงไปจนถึงก้นบึ้งมันจะได้ความรู้สึกเหน็บหนาวจนตัวชาอยู่ในสภาวะที่ไร้สมรรถาพทางปัญญาอย่างสิ้นเชิง คือการจำนนต่อความพ่ายแพ้ชีวิตโดยดุษฎีมิมีข้อกังขา

            แต่ฉันไม่ปล่อยให้ฝูงอวตารความท้อแท้ฝูงใหญ่มาตั้งรกรากอยู่ในจิตใจฉันได้ยาวนานหรอกนะ เพราะฉันเป็นคนเบื่อง่ายเมื่อฉันสนิทกับความเศร้าเมื่อเราเจอหน้ากันทุกวัน เมื่อมันนำพาจิตใจฉันไปบนทางที่งี่เง่าทุกขณะจิตฉันก็เริ่มวางแผนถอดถอนมันออกจากใจฉันทันที  ฉันรู้ว่าฉันต้องหาเพื่อนใหม่ ยังไงนะเหรอ โปรดติดตามตอนต่อไป J   

...วัคซีน...

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

~Happy My Birthday~



      เช้านี้ตื่นมาพร้อมรอยยิ้ม และแสงตะวันฉาย นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะบอกคุณไม่ว่าเรื่องใดๆทุกๆอย่างจะต้องเรียบร้อยฉันมีชีวิตผ่านมาแล้ว 36 ปี โชคชะตาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที สิ่งหนึ่งดึงดูดสิ่งหนึ่งมันเคลื่อนผ่านที่ว่างเข้าหากัน ฉันยังคงจ้องดูดาวเพื่อไม่ให้ใจสับสน ในแสงและเงาเหมือนความเศร้าและศรัทธา ฉันจะให้แสงนั้นนำทางหรือใช้เงาของมันไว้ซ่อนตัวเอง บางครั้งก็น่าเศร้าเหมือนความห่างเหินระหว่างเรากับพระเจ้า มีความเหงางดงามแต่ไม่มีจริง

     เหมือนความรักบนความไม่รัก เหมือนการผูกมัดกับคำที่บอกว่า สายเลือด หรือคำว่า ฉันรักคุณ รักแท้คล้ายปมปริศนา ความปรารถนา ความหวังเพื่อรักจะทำให้มันคุ้มค่า ความอ่อนแอ ต้องการล้มตัวลงสู่อ้อมแขนของคนบางคนที่เต็มใจพร้อมแล้วรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับลมหายใจแห่งความสุข แล้วมันมีจริงหรือ?? เราจะมองเห็นความเสี่ยงน้อยที่สุดก็ด้วยการเอาห่วงปรารถนานั้นออกมิใช่หรือ??

     เช้าวันใหม่ สิ่งแวดล้อม แสงสว่าง นอกหน้าต่าง สายลม แสงแดด ต้นหญ้า ฉันอยู่ที่ไหน อยู่เมื่อไหร่ อยู่ตลอดไปได้ไหม แสงไฟในยามค่ำคืนกับความเดียวดาย ฉันรออะไร??แสงสว่างยามเช้าที่ลอดผ่านบานประตูที่เปิดไว้ ฉันรอแสงนั้นมานำทางให้ความหลง ชีวิตจริงกับความสงสัยเราเดินสวนทางกัน สิ่งใดคือความจริง สวรรค์ นรกฉันรู้อะไรบ้างกับสิ่งที่อยู่บนนั้น หรือเบื้องล่างตรงนี้ ความเปลี่ยนแปลง ความหนักหนา ความลงตัวเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง หรือฉันต้องเดินออกไปชีวิตกำลังรออยู่

     ทุกคนก็เหมือนฉัน เรามีอิสระเต็มที่ แค่วางภาระทิ้งไว้เราไม่ต้องการอะไร แค่เข้าใจ เข้าหากัน แล้วบอกฉันคุณจะรักฉันได้อย่างไร และเมื่อเวลาผ่านไปทำไมมันถึงจืดจาง รักไม่ใช่การสยบยอมหรอกนะ
รักคือคำสั่งเราควบคุมมันไม่ได้มันมาแล้วก็ไป แล้วรักก็ไม่ใช่หน้าที่ อย่าป้อนอาหารให้ฉันในกรง ข้างในนั้นอะไรๆมันก็แย่แม้คุณจะออกแบบตกแต่งมันไว้อย่างดี 

     ดวงวิญญาณอันหิวกระหาย อ่อนล้า มันจึงเสาะหาความหวัง แสวงหาพระเจ้า เพื่อเข้าใจชีวิต มันคือสายธารอันเหือดแห้งที่ต้องการน้ำเหมือนก้อนเมฆ โลกนี้บอกว่าให้เชื่อในความรักโลกนี้สร้างรูปแบบของความรักเหมือนพระเจ้าสร้างโบสให้เราต้องกลับไปกราบไหว้บูชา แม้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็พยามเข้าใจ รักษามันไว้กลัวว่ามันจะตายโดยไม่คิดว่า การตายนั้นอาจก่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีงดงามกว่า

    แล้วคุณล่ะเชื่อยังไง อยู่เพื่อความสำเร็จของตัวเอง หรืออยู่อย่างอ่อนแอรอให้คนอื่นทำให้ ความรักคือสงครามอันเหี้ยมโหดที่มีสองคนในหนึ่งร่าง คนนึงรักอย่างท่วมท้น กับอีกคนคอยจ้องทำลาย การหยุดนิ่งนั่นคือความผิดพลาดแรกที่เราเข้าใจ การต่อสู้กับตัวเองโดยไร้ความหวังคือการให้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากๆท่ามกลางพายุฝนเพื่อรอฟ้าหลังฝนให้คุณได้ออกไปสัมผัสกับท้องฟ้า ใบหญ้าและพื้นดิน

     รูปแบบมันซ่อนอยู่ต่อหน้าเรานี่เอง เพียงแค่ต้องรู้ว่าจะมองมันตรงไหน สิ่งที่คนส่วนมากเห็นเป็นความวุ่นวาย จริงๆแล้วมันเป็นไปตามกฎอย่างเฉียบแหลม ความสุขคือการอิ่มตัวของความทุกข์ ความทุกข์ก็คือความสุขที่ถูกทรมานให้หิวกระหาย เรากระหาย จึงเติมเต็มความกระหาย เราคือเงาสะท้อนของความกระหาย จักรวาลธรรมชาติ ชีวิต รูปแบบที่ไม่เคยโกหก มีแค่คนส่วนน้อยที่จะสังเกตุเห็นสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กันในโชคชะตา คือชีวิตที่ถูกลิขิต ถูกจับต้อง เหมือนเชือกที่จับยึดทุกคนไว้ด้วยกัน มันอาจจะยืดยาวยุ่งเหยิง แต่มันไม่เคยหลุดจากกัน และคนที่ยังมีชีวิต คือคนที่ต้องสัมผัส....



...วัคซีน....

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

~ความมึนเมาอันแสนหวาน~(Sweet intoxication)


      ฉันเกิด  ฉันฝัน ฉันลืมตา หลอมละลายในราตรีที่ไร้จุดจบ ประกายไฟในฝันตกลงไปในเปลวเพลิงแห่งความจริง แล้วรุ่งทิวาก็นำพาฉันให้ออกจากเงามืดปลุกฉันขึ้นจากพื้นดินให้ตื่นมามีชีวิตอีกครั้ง
..............................................
.............................................
 "ในฝันฉันหลับไหล เคลิบเคลิ้ม ล่องลอย เรื่อยไป โลกที่สดใหม่ ในห้วงรัก สงบชั่วนิรันดร์ "
     ฉันก้าวขึ้นไปสู่ดินแดนมหัสจรรย์ สัมผัสสายลม สัมผัสแสงจันทร์ มองเห็นสายรุ้ง เมื่อคลื่นกำลังซัดมา เมื่อรักทำให้หลอมละลาย จากสองเป็นหนึ่งเราก็ไปด้วยกันทุกที่ ฉันคือฝัน ในฝันคือฉันโดดเดียว ทารุณ หม่นหมอง เศร้าโศก ว่างเปล่า ทุกข์ทน ทุกอย่างหายไป
"ความรักคืออะไรกันนะ"
    แล้วมันมาจากไหนจากทุกสิ่งรอบตัว ท้องฟ้าหรือว่าก้อนเมฆ มาจากคุณรักฉัน หรือฉันรักคุณ หรือการเติมเต็ม มันคือความรักหรือ เหมือนสายธารที่เหือดแห้งเมื่อฝนไม่ตกลงมา ชุ่มฉ่ำเกิดใหม่เมื่อความรักโปรยลงไป...ทุกที่...ทุกที่ ทุกที่  แต่ทุกๆที่ที่ความรักไปเยือน ทำไมเราไม่เคยมองเห็น เรากลับสัมผัสไม่ได้ เหตุใดเราไม่เชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ หัวใจเราเย็นชา หนักอึ้ง มืดมน สับสน มันคงเบาสบายถ้าความรักอยู่รอบๆตัวเรา..แต่เพราะความรักอยู่ในตัวเราใช่ไหม

             ????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????

       ฉันเขียนไว้ในสายน้ำ สักไว้กับสายลม เรื่องที่ไม่กล้าพูดออกมา ฉันพยายามโอบอุ้มเต็มที่ เรื่องที่ทำให้สบายใจ ทนุถนอมเต็มที่ ให้เต็มที่เพื่อชดเชย...กับบางสิ่ง บางอย่าง...โลกที่แสนโหดร้าย ความหลอกลวง เงินตรา ปีศาจ เถ้าถ่าน เปลวไฟ... บางเรื่อง ทุกเรื่อง หลายๆเรื่อง ก็แค่เรื่องราว...ก็แค่อดีต..."ในอดีต"
     โลกที่แสนดีแสนงดงามเธอจะซ่อนตัวนานแค่ไหน ทำไมไม่ทำให้เราได้พบเธอ ไม่ทำให้เราได้ภาคภูมิใจ ไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป ความดี เราปิดพรสรรค์นั้นตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ  เพราะเรามองไม่เห็น มันไม่เคยมีจริง เหมือนชีวิตชั่วนิรันดร์ ที่ไม่มี...

     การคิดว่าจะอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ ช่วงเวลานั้นไม่มีจริง หากพรุ่งนี้ไม่ใช่เมื่อวาน หากชีวิตคือบ้าน ทำไมเราทำสิ่งที่อยากทำในบ้านหลังที่เราอาศัยอยู่ไม่ได้ ทุกอย่างมีเหตุผลที่มารวมกัน เหมือนเรื่องราวความเชื่อของโรมัน ฉันไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไรจึงวิ่งไล่จับแสงจันทร์ เพราะคิดว่าการไล่จับแสงของดวงจันทร์จะทำให้ชีวิตดีกว่าที่เคยเป็นเช่น "ความกลัว"และเพราะไม่รู้ว่าต้องการอะไร ฉันจึงทำพลาดแล้วพลาดอีก  แล้วก็พลาดอีก อีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง จนชนะ

     แต่เด็กเอ๋ยเด็กน้อยเธอผู้ต่ำต้อยและโง่เขลา ชนะความโง่เพราะความเคยชินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชนะจนหัวใจเย็นชา รู้สึกว่าเปล่าเปลี่ยวจนไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน อยู่อย่างเงียบเหงาซังกะตายกับชีวิตที่มีแค่คืนกับวัน กับกฏเกณฑ์ กับขอบเขต กับเวลา ชีวิตช่างโหดร้ายมากกว่าที่คิดว่าเป็น

     การเดินจากกันเพราะพรุ่งนี้ไม่ใช่เมื่อวาน การเดินจากกัน เพราะคิดว่ารู้จักกันนานแต่ไม่คิดว่าเป็นแบบนี้ ความสุข ความปรารถนาที่เคยมีมันไร้ค่าเพราะคุณทำให้มันไร้ค่า ราตรี ทิวาที่มีขอบเขตและกฎเกณฑ์ เหมือนการภูมิใจกับเสียงร้องของไมล์และลิฟซิ้งค์ที่หลอกลวง หยุดเถอะตื่นเสียที หยุดเผาความหลอกลวงไปเรื่อยๆกับราตรีที่พรุ่งนี้ก็เช้า กับรุ่งเช้าที่นำเราไปสู่ความมืด หยุดเปลียนตัวเองด้วยความเปลี่ยนแปลงของเวลา 

  คุณบอกว่าความรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...แล้วคุณล่ะ... สิ่งที่คุณพูดออกมาจากข้างในที่มีความรักอยู่หรือเปล่า เมื่อมีความรักอยู่ในคำที่ออกมาจากความรักทั้งชายหญิง เข้าใจกันด้วยความรักทั้งสองฝ่าย ราตรี ทิวา ที่มีขอบเขต ระเบียบและกฎเกณฑ์ ก็คงจะไม่มีความหมาย

 ...วัคซีน...