วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

~พรุ่งนี้ก็สายไปสำหรับเมืองไทย~

   

    ประเทศไทยในวันนี้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยความสับสน วิตกกังวล รุนแรง สิ้นหวัง เงอะงะ แสวงหา บ้าอำนาจ มีความละโมบ แก่งแย่งแข่งขันกันไม่รู้จบ

     สังคมถูกแบ่งแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครสามารถก้าวเข้ามาแล้วเดินนำหน้าพาเราทั้งหลายเดินไปในทิศทางเดียวกันได้ ไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งภายในและภายนอก

     ผู้มีอำนาจขาดความน่านับถือ วาทศิป์ที่สวยงามฟังกันจนเป็นเสียงดนตรี ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์และเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ต้องอาศัยประเทศไทยแห่งนี้อยู่ ผู้เขียนสงสัยเหลือเกินว่าเราแต่ละคนมีความรู้สึกที่จะรับผิดชอบต่อความวุ่นวายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในสังคมเราอย่างไรบ้าง

     “มีบางคนอาจพูดว่าฉันไม่ได้เป็นผู้ก่อ มันเกินกำลังไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”

แต่เราลืมไปว่าเราคือผู้สร้างสังคมเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราคือโครงสร้างทั้งหมดของปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เราจึงต้องรับผิดชอบต่ออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา ไม่ใช่แค่นิ่งเฉย หรือโดนจูงจมูก ให้ทำอะไรก็ได้ตามคำสั่งของผู้บงการ

     ความรับผิดชอบไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ดูดีพูดแล้วลืมไป พูดแล้วพูดอีกพูดใหม่แต่ไม่ได้เกิดผลอันไพบูรณ์แต่อย่างใดเลย

     ความรับผิดชอบต้องเกิดขึ้นจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เกิดจากข้างในจิตใจของเราจริงๆ เราต้องรู้สึกรับผิดชอบต่อความแบ่งแยก ความขัดแย้ง ความเจ็บปวด ต่อคราบเลือดคราบน้ำตา ต่อความทุกข์โศก การตายจาก  ความอดอยากหิวโหย และจากการถูกครอบงำ

     เพราะสังคมเราในวันนี้จะหวังพึ่งพิงผู้มีอำนาจอยู่ตลอดไปมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแล้ว เราก็คงจะเห็นและสัมผัสได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถ้าพวกเขาพึ่งพิงได้จริงๆถ้าพวกเขามีความรับผิดชอบและรักประเทศไทยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามใดๆในวันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะไม่มีให้เกิดขึ้น...

     แต่คนไทยรอวันพรุ่งนี้มานานมากแล้ว เมืองไทยเราไม่มีเวลาให้วันพรุ่งนี้มาถึงแล้ว  เราต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติอย่างฉับผลันกับตัวของเราเอง เพื่อสังคมและการเป็นอยู่ที่แตกต่างไปจากที่มันกำลังเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิงและโดยแท้

    ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ว่าเราจะทำตัวให้แตกต่างและเปลี่ยนตัวเองเพื่อเปลี่ยนสังคมได้อย่างไร

    :เราจะถูกทำให้รู้สึกว่าอยากรับผิดชอบต่อสังคมที่ไร้ระเบียบยุ่งเหยิงมาเป็นสังคมที่สงบสุขได้อย่างไร

    :เราจะสร้างความรู้สึกดีงามให้เกิดขึ้นภายในจิตใจเราโดยไม่มีความบิดเบือนได้อย่างไร

     นี่คือสิ่งที่เราทุกคนต้องเปลี่ยนและต้องคิดให้กับตัวเอง ไม่ใช่ด้วยการบังคับ ชักจูง ปลุกระดม หรือด้วยมาตรการกดดันทำให้ต้องเชื่อ ด้วยความกลัวที่ต้องหาที่พึ่งพิง เราจะไม่ทำอย่างนั้นกัน

     เพราะสิ่งนั้นคือสิ่งที่คนจำนวนมากกำลังทำกันอยู่ในตอนนี้และนั่นก็คือต้นเหตุของความยุ่งเหยิงที่เรากำลังประสบอยู่

     เมื่อคุณเห็นความยุ่งเหยิงของสังคม คุณรับรู้ถึงความไม่มีระเบียบ คุณรับรู้ถึงความโง่เขลาของผู้คนที่แสดงออกโดยมีผู้อื่นชี้นำ คุณเห็นความโหดร้าย สับสนรุนแรง เห็นการเป็นศรัตรูกันด้วยคำพูดที่มาจากความว่างเปล่า

     ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง  ก็คือ  คุณต้องทำสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณเห็น สิ่งที่คุณรับรู้ผ่านการกลั่นกรองจากตัวของคุณเอง สิ่งที่คุณรู้สึกว่ามันคือความน่าอับอาย ตื้นเขิน มืดทึบทางปัญญาคุณจะต้องปฏิเสธมัน คุณจะต้องไม่ทำตามเหตุผลใดๆอันเกิดจากการปลุกระดม สร้างให้เชื่อ ครอบงำให้กลัว หรือชักชวนให้ดูน่าพึ่งพิง...

...เพียงแค่นี้คุณก็จะเป็นคนที่สร้างโลกใหม่สืบสานความสงบสันติให้เกิดขึ้นด้วยตัวของคุณเอง...



... จงเชื่อว่าอุดมคติ อุดมภาวะ อหิงสา เสรีภาพ ความรัก เป็นสภาวะที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น    สิ่งที่ดำรงอยู่คือสิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่เมื่อคุณตระหนักรู้ว่าคุณรุนแรง คุณแบ่งแยก คุณหยุดมันและนั่นก็คือ “สิ่งที่เป็นอยู่จริง” ….









......วัคซีน........

ไม่มีความคิดเห็น: