วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมคำคมของกฤษณะ มูรติ

การปฏิวัติ

เพื่อเข้าใจปัญหาการเปลี่ยนแปลง ประการแรกนั้นจำต้องเข้าใจกระบวนการนึกคิดและํธรรมชาติของความรู้ นอกจากว่าเราพิจารณาประเด็นนี้อย่างลุ่มลึก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็แทบไม่มีความหมายเลย เพราะการเปลี่ยนแปลงซึ่งอุบัติขึ้นที่ผิวนอก คือการสืบต่อสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงให้คงอยู่สืบต่อไป การปฏิวัติที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่าหรือชีวิตที่แตกต่างออกไป โดยผ่านลำดับขั้นตอนของกาลเวลา พฤติกรรมผิดๆ ที่การปฏิวัติหวังจะกำจัดยังคงหวนกลับมาในรูปโฉมใหม่พร้อมกับกลุ่มคนที่ต่างไป กระบวนการเดิมยังคงดำเนินสืบไป เราเริ่มต้นเพื่อเปลี่ยนแปลง เพื่อก่อให้เกิดสังคมที่ไร้ชนชั้น แต่เมื่อผ่านกาลเวลาและแรงกดดันจากเหตุแวดล้อมต่างๆ การณ์ก็กลับเป็นว่าบุคคลกลุ่มอื่นตั้งตัวขึ้นเป็นชนชั้นสูงใหม่ การปฏิวัติที่มีมาไม่เคยเกิดขึ้นจากรากเหง้าเบื้องลึกโดยแท้จริง

บุคคลที่รู้สึกกับโลกอย่างแรงกล้าและเห็น ความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลง เขาต้องเป็นอิสระจากงานทางการเมือง อีกทั้งเป็นอิสระจากบทบัญญัติทางศาสนา และศาสนประเพณี นั่นหมายความว่าเป็นอิสระจากแอกของกาลเวลาและภาระหนักของอดีต เป็นอิสระจากการกระทำทั้งมวลที่เกิดจากแรงปรารถนา นี่คือการเป็นมนุษย์คนใหม่ มีเพียงสิ่งเหล่านี้เ่ท่านั้นที่เป็นการปฏิวัติทางสังคม จิตใจ และแม้แต่การปฏิวัติทางการเมือง

มนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง

จงสนใจกับการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน อันเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าจะเรียกว่าการปฏิวัติ คือการปฏิวัติในหมู่มนุษย์้เรา และในความเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราให้ความสำคัญ การปฏิวัติเยี่ยงนี้ ไม่มีแผนงาน ไม่มีอุดมการณ์ หรือแนวคิดแบบสังคมยูโทเปีย เราต้องมองดูสภาพความสัมพันธ์จริงๆ ของมนุษย์ แล้วเปลี่ยนแปลงมันอย่างถอนรากถอนโคน เช่นนี้จึงจะเป็นของจริง

ความคิด

ความคิดมิใช่วิถีทางที่จะแก้ไขปัญหาใดๆ ของเ้รา เพราะความคิดคือการตอบสนองของความจำ และความจำคือผลพวงของความรู้ที่พอกพูนขึ้น ซึ่งก็คือประสบการณ์

ความอยาก

เป็นไปได้ไหมที่จะมองเห็น เฝ้าสังเกต และรู้สึกตัวถึงสิ่งที่งดงามและน่าเกลียดทั้งหลายในชีวิต โดยไม่พูดว่า "ฉันต้องมี" หรือ "ฉันต้องไม่มี" คุณเคยเพียงสังเกตดูสิ่งใดบ้างไหม พอจะเข้าใจไหมครับ คุณเคยสังเกตภรรยา ลูกๆ หรือเพื่อนๆ ของคุณบ้างไหม เพียงแต่มองดูเขา คุณเคยไหมที่จะมองดอกไม้สักดอกโดยไม่เรียกมันว่าดอกกุหลาบ โดยไม่คิดจะเด็ดมาประดับรางกระดุมหรือนำมันกลับไปให้ใครที่บ้าน หากคุณมีศักยภาพที่จะสังเกตเยี่ยงนั้น โดยปราศจากการให้ค่าที่จิตกำหนดขึ้น คุณจะพบว่าความอยากไม่ใช่สิ่งน่าสะพรึงกลัว คุณสามารถที่จะมองดูรถยนต์ แลเห็นความสวยงามของมัน แต่ไม่ถูกจับไว้ในความโกลาหลหรือความขัดแย้งเพราะความอยาก แต่นั่นต้องการการสังเกตอันเฉียบคม เข้มข้น ไม่เพียงมองผ่านๆ ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่มีความอยาก แต่เป็นเพียงจิตมีศักยภาพในการมองดูโดยไม่มีคำบรรยาย

ความงาม

มีความงามที่ไม่ได้มาจากปฏิกิริยาตอบโต้จากสิ่งเร้า ความงามแห่งนัยนี้ไม่เนื่องอยู่กับสีสัน สัดส่วน รูปลักษณ์หรือคุณลักษณ์ แต่เป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญใหญ่หลวงกว่าและล้ำลึกกว่ายิ่งนัก มันไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์อยู่กับสิ่งเร้าที่ผ่านไปมา มันยากที่จะสื่อถึงความรู้สึกนั้น ความรู้สึกถึงความงามยามเมื่อทั้งจิตใจและระบบประสาท ความรู้สึกทั่วทั้งเรือนร่างประสานกันอย่างสมบูรณ์ ความรู้สึกนั้นมิได้ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้เกิดจากแรงกระตุ้นใดๆ แต่มันปรากฏอยู่ที่นั่นจริง เพราะว่าคุณตื่นตัวรับรู้ว่องไวต่อสรรพสิ่งตลอดทั้งวัน ตื่นรู้ต่อถ้อยคำ ท่วงท่า การย่างก้าว ต่อสิ่งโสโครกตามถนนหนทาง ความรกรุงรังไร้ระเบียบของบ้านช่อง ความน่าเกลียดภายในที่ทำงาน ความทมิฬหินชาติของมนุษย์ คุณรู้สึกตัวอยู่ ตื่นตัวรับรู้ว่องไว ด้วยเพราะความตื่นตัวว่องไวเยี่งนี้ คุณได้พลิกฟื้นทั่วทุกพื้นที่ของชีวิตคุณ กระตุ้นทุกซอกหลืบของจิตสำนึกคุณและสภาวะการดำรงอยู่ของคุณ เมื่อเป็นดังนี้เท่านั้นความรู้สึกแห่งความงามจึงอุบัติขึ้น ไม่ใช่ถูกกระตุ้นขึ้นเมื่อเห็นทะเลสาบ ขุนเขา บทกวี หรือเข้านกที่กำลังบินถลาร่อนลม

สัมพันธภาพ

คำว่าสัมพันธภาพ คุณหมายถึงอะไร เราเคยสัมพันธ์กับใครสักคนไหม หรือว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองมโนภาพ ซึ่งเราต่างก็สร้างมโนภาพของกันและกัน ผมมีมโนภาพเกี่ยวกับคุณและคุณก็มีมโนภาพเกี่ยวกับผม เราแต่ละคนผู้เป็นภรรยาหรือสามีต่างมีภาพลักษณ์ของกันและกัน หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ นั่นเป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างสองภาพลักษณ์ ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น ความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อไม่มีภาพลักษณ์เท่านั้น เมื่อผมและคุณต่างมองกันและกันโดยปราศจากภาพลักษณ์ในความทรงจำ ปราศจากการหยามเหยี่ยดหรือประการอื่นๆ ความสัมพันธ์ก็จะเกิดขึ้น

กระจกเงาแห่งความสัมพันธ์
การสัมพันธ์หมายถึงสัมผัสตรงถึงกัน การเชื่อมสนิทต้องตรงไปตรงมา ไม่ใช่ระหว่างสองภาพลักษณ์ เพื่อที่จะมองผู้อื่นโดยปราศจากภาพลักษณ์ซึ่งผมมีอยู่เกี่ยวกับเขาผู้นั้นต้องมีความใส่ใจและความรู้สึกตัวอย่างมหาศาล ภาพลักษณ์ในความทรงจำเกี่ยวกับผู้นั้นซึ่งเคยเหยียดหยามผม หรือทำให้ผมสบายใจ เพลิดเพลินใจ หรือนั่นนี่ เมื่อไม่มีภาพลักษณ์ระหว่างกันเท่านั้นสัมพันธภาพจึงจะเกิดขึ้น

ภาพลักษณ์

เหตุใดผมผู้ใช้ชีวิตมาเป็นเวลา 40, 50 หรือ 60 หรือกี่ปีก็แล้วแต่ที่เราดำเนินชีวิตมา เหตุใดผมจึงเก็บรวบรวมเอามวลประสบการณ์และความรู้ไว้เต็มคลัง ทั้งสิ่งที่ผมเคยคิด เคยรู้สึก ที่ผมเป็นอยู่ และควรจะเป็น หากผมไม่ทำเช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้น หากว่าผมไม่มีมโนคติเกี่ยวกับตนเอง อะไรจะเกิดขึ้นกับผม ผมก็จะหลงทางใช่ไหม ผมจะรู้สึักไม่แน่นอนใจ ขยาดหวาดกลัวต่อชีวิต ผมจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ มโนคติ นิยายปรัมปรา และข้อสรุปเกี่ยวกับตนเองขึ้นมา สำหรับผมแล้ว หากไม่มีบรรทัดฐานเหล่านี้ ชีวิตสุดแสนจะไร้ความหมาย ไม่แน่นอน น่าหวั่นกลัวยิ่ง และไร้เสถียรภาพ...

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อผู้รู้สึกตัวถึงข้อเท็จจริงว่า ผมได้สร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับตนเอง และตระหนักรู้มันดุจรู้สึกถึงความหิวของผม

ความรัก

เมื่อคุณสูญเสียคนที่คุณรักไป คุณร้องห่มร้องไห้ น้ำตาของคุณพรั่งพรูออกมาเพื่อตัวคุณเอง หรือเพื่อคนที่ตายไปแล้วกันแน่ คุณร้องไห้ให้แก่ตัวคุณเองหรือคนอื่น คุณเคยร้องไห้เพื่อคนอื่นบ้างไหม คุณเคยร้องไห้ให้กับลูกของคุณทีุ่ถูกฆ่าในสมรภูมิหรือไม่ คุณเคยร้องไห้ แต่น้ำตาเหล่านั้นหลั่งออกมาจากความสงสารตัวเองหรือว่าคุณร้องไห้เพราะว่ามนุษย์ได้ถูกฆ่าลง ถ้าคุณร้องไห้เพราะความสงสารตัวเองแล้ว น้ำตาของคุณไม่มีความหมายใดเลย เพราะว่าคุณหมกมุ่นอย่างมากมาย ถ้าคุณร้องไห้เพราะว่าคุณหมดหวังในคนที่คุณทุ่มเทให้ความรักอย่างมากมาย นั่นไม่ใช่ความรักจริงๆ เลย เมื่อคุณร้องไห้ให้กับน้องชายของคุณที่ตายไป จงร้องไห้เพื่อเขา เป็นเรื่องง่ายเหลือเกินที่จะร้องไห้ให้กับตัวคุณเองเพราะเขาจากไปเสียแล้ว แน่ละว่าคุณกำลังร้องไห้เพราะว่าหัวใจของคุณกระทบกระเทือน หาใช่เพื่อเขาไม่ แต่กลับถูกกระทบกระเทือนด้วยความพะนอสงสารตัวเอง และการพะนอตนเองนี้ทำให้คุณแข็งกระด้าง ปิดกั้นตัวเอง ทำให้คุณซึมเซาและโง่เขลา

สิ่งที่เป็นอยู่จริง

เมื่อคุณสังเกตความจริงตามที่คุณเป็นอยู่จริง ไม่มีใครจะทำให้คุณเจ็บปวดได้ ถ้าคุณเป็นคนชอบพูดเท็จ และหากมีใครบอกว่าคุณเป็นคนขี้ปด ไม่ได้หมายความว่าคุณโดนทำร้าย แต่มันเป็นความจริงที่คุณพูดเท็จ แต่หากคุณเสแสร้งว่าคุณไม่ใช่คนช่างเท็จ แต่ถูกกล่าวหา แล้วคุณรู้สึกโกรธและรุนแรง นั่นคือเรามักจะมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งแนวความคิด หรือโลกตามตำนานปรัมปรา ไม่เคยออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพื่อที่จะสังเกตสิ่งที่เป็นจริง มองเห็นมัน คุ้นเคยกับมันจริงๆ จะต้องไม่มีการติดสิน การประเมินค่า ไม่มีความคิดเห็น และ ไม่มีความกลัว

ความทุกข์


ชีวิตพวกเราส่วนมากออกจะน่าเกลียด โสมม ระทมทุกข์มากมาย ชีวิตของเราเป็นห่วงโซ่ของความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย เป็นกระบวนการของการต่อสู้ดิ้นรนและความปวดร้าว เกิดความรู้สึกพึงพอใจที่อิ่มเอิบที่อิ่มเอิบชั่วครู่ชั่วยามแล้วผ่านเลย เราถูกตรึงให้อยู่กับการยอมปรับตาม การสยบยอมตามและแบบแผนทั้งหลาย ไม่มีแม้เพียงขณะเดียวที่อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ ไม่เคยรู้สึกเต็มอิ่มในชีวิต มีความท้อแท้สิ้นหวังอยู่เสมอ เพราะต้องมุ่งแต่ค้นหาความเต็มบริบูรณ์ เราไม่มีความสงบสุขในจิตใจ ทั้งยังถูกกระทำให้ทุกข์ทรมานด้วยความทะยานอยากสารพัด ดังนั้น เพื่อที่จะเข้าใจปัญหาทั้งมวลนี้และล่วงพ้นจากมัน จำเป็นที่ต้องเริ่มต้นเข้าใจในธรรมชาติของความรู้และกระบวนการของจิตใจเสีย ก่อน

การหลบหนี

เมื่อเรารู้สึกไม่พอใจในตนเอง ไม่พอใจในสภาพการณ์ทั้งภายในและภายนอกของเรา เราจึงใช้หนทางหลบหนีมากมาย เราคิดว่าเราจะเข้าใจ จะแก้ปัญหาการดื่มและการหนีได้เมื่อเราค้นพบสาเหตุของมัน เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุของการหลบหนีแล้ว เรายุติการหลบหนีได้หรือ เช่น เมื่อผมรู้ว่าผมดื่มเพราะทะเลาะกับภรรยาของผม หรือเพราะว่าผมได้งานที่แย่มากๆ เมื่อผมรู้สาเหตุผมหยุดดื่มหรือ ไม่หยุดแน่นอน ผมจะหยุดดื่มก็ต่อเมื่อผมมีความสัมพันธ์อันถูกต้องกับภรรยาของผม หรือกับคนอื่นๆอ และขจัดความขัดแย้งซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความปวดร้าวออกไป


          "อิสรภาพเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่รู้ เมื่อคุณใส่ใจคุณจะไร้ซึ่งอิสรภาพ"
                                                                             
                                              
 ....วัคซีน....

3 ความคิดเห็น:

vaczeen กล่าวว่า...

บทความใหม่ครับ อันนี้ก็blogของผมอีอันครับ http://24hrsartcriticism.blogspot.com/

vaczeen กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับสำหรับความคิดเห็นที่ช่วยเปิดมุมมองอะไรใหม่อีกหลายอย่างถ้ายังไงก็รบกวนขอความรู้ด้วยนะครับ vaczeen

markhun กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ คุณวัคซีนที่เข้ามาดูงานที่ blog ของผม ผมได้อ่านความคิดเห็นแล้วจากบล็อก 24hrsartcriticism.blogspot.com/เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ถ้ายังไงผมขอรบกวนให้ช่วยวิจารณ์และแนะนำความรู้เพิ่มเติมด้วยนะครับ

สำหรับตัวงาน อันที่จริงผลงานของผมทุกชิ้นนั้น มีชื่อผลงานเป็นเสมือนกุญแจในขั้นต้น งานที่ปรากฏอยู่บนบทความนั้นมีชื่อว่า มายาคติ "ขัด"สมาธิ
ผมมองว่าทุกสิ่งอย่างในโลกนั้นมีสองด้านเสมอ มายาคติก็เช่นเดียวกันมีทั้งที่ดีและไม่ดี "ขัด" ในที่นี้ของผมจึงหมายถึง 1.ขัดเกลา 2.ขัดขวาง ตัวมายาคติเองก็มีหลายระดับสูง กลาง ต่ำ เป็นเปลือก-เป็นแก่น
สิ่งที่คุณวัคซีนแสดงทัศนะไว้ในเรื่องของพระพุทธรูปเป็นไปตามนั้นครับ ผมเจตนาเขียนพระพุทธรูปหันหลังเขียนให้ดูเป็นวัตถุ ไม่บ่งบอกยุคสมัยที่สร้าง ไม่บ่งบอกประเภทของวัตถุที่หล่อขึ้นมา(ทอง) จึงไร้สีและให้ดูเป็นกลางมากที่สุด เป็นการลดกำลังของมายาคติลง ลดความสนใจในองค์พระพุทธรูป(มายาคติในขั้นเปลือก-วัตถุ)เพื่อไม่ให้ขัดขวางสมาธิ คนดูจะได้ พินิจ พิจารณาถึงในสิ่งที่สำคัญกว่า สิ่งที่ปรากฏตามมาเบื้องหลังภาพพระพุทธรูป คือ ความหมายแห่งลักษณะมหาบุรุษ32ประการ สะท้อนหลักคำสอนไว้ทุกสัดส่วนในองค์พระปฏิมา อาทิ จมูกเป็นสันนูนเพื่อให้เราระลึกถึงลมหายใจ เข้า-ออก เป็นการเตือนสติ ให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ หูยาวเพื่อเตือนให้เรามีความหนักแน่นอย่าเชื่อใครง่ายๆ ควรคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน เป็นต้น ที่ผมกล่าวมาก็เป็นมายาคติในอีกระดับหนึ่ง เป็นขั้นสูง เป็นขั้นของการพัฒนาขัดเกลา ที่จะทำให้เราไม่หลงไปยึดติดแต่เพียงผิวนอก แต่ควรมองให้ลึกลงไปในวัตถุ ในพิธีกรรม มองให้เห็นสัจธรรมในสิ่งเหล่านี้

มายาคติในส่วนขั้นขัดเกลานี้เองผมจึงอุปมาอุปมัย ดั่ง แผ่นทองที่ปิดหลังพระเป็นสิ่งดีที่คนไม่เห็น ไม่นิยมหรือเห็นแต่ก็มองข้าม ไม่สนใจที่จะปฏิบัติ